Come and enjoy lovely coffee shop and restaurant with great breeze of Chao Phraya River plus lush green garden,near Rama V bridge and Nonthaburi Pier ร้านกาแฟ เบเกอรี่ อาหารกลางวัน ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานพระราม5 และท่าน้ำนนท์ บรรยากาศสไตล์บ้านสวน ชมวิวรับลมแม่น้ำ

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความจำเสื่อม

            หลายปีที่ผ่านมาดิฉันได้มีโอกาสดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม  ดูจะเป็นเรื่องซีเรียส สำหรับโพสต์นี้  แต่บทความน่าสนใจและอาจเป็นประโยชน์กับหลายท่าน  ซึ่งได้สรุปย่อความมาเพียงบางส่วน  ดิฉันเหมือนกับหลายๆ ท่านที่มักเรียกโรคสมองเสื่อมว่า อัลไซส์เมอร์  คุณหมอที่ดูแลประจำระบุอาการแม่อดีตสามีว่า ดีเมนเชีย (Dementia) ที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งเคยเส้นเลือดฝอยแตกในสมอง และด้วยตัวเลขอายุย่าง 88 ที่มีอาการโรคอัลไซส์เมอร์ด้วย   
            ดีเมนเชีย หมายถึง ภาวะสมองเสื่อม  มักเกิดกับผู้สูงอายุ บ้างเกิดเองตามวัยเพราะสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีแก่มีเสื่อมไปเป็นธรรมดา  บ้างเกิดขึ้นเพราะเป็นโรคอัลไซส์เมอร์ (Alzheimer's disease)   บ้างเกิดขึ้นเพราะเป็นโรคพาร์กินสัน (Parkinson's disease)  และบ้างเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดเส้นเล็กๆ ในสมองอุดตันเนื่องจากความดันโลหิตสูงและ/หรือเบาหวาน  มีส่วนน้อยที่จะเกิดกับคนอายุไม่มากนัก เช่น วัยกลางคน
            คนส่วนมากมักใช้คำว่าอัลไซส์เมอร์เมื่อพูดถึงสมองเสื่อม หรือความจำเสื่อมมากกว่าคำว่า ดีเมนเชีย  มองในแง่หนึ่งอาจจะเป็นเพราะการแพทย์ไม่เคยสื่อสารสาธารณะให้สังคมรู้จัก  มองอีกมุมหนึ่งอาจจะเป็นเพราะธุรกิจสุขภาพและธุรกิจยาข้ามชาติต้องการสื่อสารเรื่องอัลไซส์เมอร์ให้คนรู้จักมากๆ  ซึ่งถ้ามัวแต่ไปนั่งกินยารักษาโรคอัลไซส์เมอร์เม็ดละร้อยบาทก็จะผิดทิศทางรักษาไม่ตรงสาเหตุ ยังไม่นับยาบางตัวที่โฆษณาเกินจริงและบางตัวมีฤทธิ์ข้างเคียงมาก  
            ไม่นานมานี้ มีงานวิจัยสรุปว่าภาวะดีเมนเชียหรือสมองเสื่อมที่เกิดกับคนไทยนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดทางสมอง  เพราะคนไทยมีความดันโลหิตสูงและเบาหวานที่รักษาไม่เหมาะสมจำนวนมาก  แต่ระยะหลังๆ ทิศทางของงานวิจัยเปลี่ยนไป โดยมักได้ข้อสรุปว่าคนไทยเป็นโรคอัลไซส์เมอร์กันมาก พร้อมๆ กับข้อสังเกตว่าธุรกิจยารักษาโรคอัลไซส์เมอร์ก็ขยายตัวมากด้วย 
            ปัจจุบันเวลาใครลืมอะไรง่ายขึ้นก็มักจะมาพบแพทย์เร็วขึ้น พร้อมคำถามว่าตนเป็นอัลไซส์เมอร์หรือยังทั้งที่อายุเพิ่งสามสิบกว่าปีห้าสิบปีเท่านั้น  กรณีเช่นนี้ร้อยทั้งร้อยไม่ได้เป็นอะไร นอกจากทำงานมาก พักผ่อนน้อย ใจลอยเก่ง ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ วางของไหนก็ไม่ตั้งใจเลยลืม รับนัดใครแล้วไม่รีบจดก็จะลืม  ผู้ป่วยสมองเสื่อมแท้ๆ มักไม่ได้มาพบแพทย์ด้วยตนเองเพราะตัวเองจะไม่รู้ว่ากำลังเริ่มสมองเสื่อมหรือความจำเสื่อมไปแล้ว  โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นช้าๆ เงียบๆ โดยไม่มีใครรู้ตัว  บ้างมีอาการแล้วหายเอง หายเองสักพักก็เป็นอีก สลับกันไปมาเช่นนี้ระยะหนึ่ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ความจำเสื่อมไปมากแล้ว  ขี้หลงขี้ลืมมากและชัดเจนจนลูกหลานเห็นผิดสังเกตจึงพามาพบแพทย์
            ลูกหลานมักพบว่าผู้สูงอายุนั่งนิ่งๆ ยืนนิ่งๆ เป็นเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุ  เมื่อชวนคุยก็มักใช้เวลาตั้งสติพักใหญ่กว่าจะตอบคำถามหรือมีสติกลับคืนมา  อาการนี้เป็นๆ หายๆ  บางบ้านผู้สูงอายุมักพูดถึงคนเก่าแก่ที่ตายไปแล้วบ่อยขึ้น หรือเหมือนว่าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่  บางคนจำชื่อลูกหลานไม่ได้  กว่าลูกหลานจะมั่นใจว่าอาการเหล่านั้นเป็นจริงไม่ได้คิดไปเอง อาการก็มักจะเป็นมากพอสมควรแล้ว  บางคนเดินออกนอกบ้านไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย  แสดงว่ามีอาการหลงลืมมาแล้วระยะหนึ่งแล้วจึงมีอาการสับสนแทรกซ้อน  มักไม่รู้เวลา ไม่รู้สถานที่ ประกอบกับจำลูกหลานไม่ค่อยได้  อาการสับสนที่แทรกขึ้นมามีสาเหตุจากสมองสูญเสียการทำงานชั่วคราว ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ  แต่บางครั้งพบว่าเกิดจากการนอนไม่หลับติดๆ กันหลายคืนหรือมีไข้  สำหรับอาการหวาดระแวง (Paranoid) เช่น ระแวงว่ามีขโมยขึ้นบ้านจึงคอยปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลา หรือระแวงว่าลูกหลานจะขโมยเงินทองไป  อาการนี้มักอธิบายด้วยสาเหตุทางใจมากกว่าทางชีววิทยาของสมอง
            เมื่อพบว่าผู้สูงอายุในบ้านความจำเสื่อม ขอให้รู้ว่ารักษาไม่ได้  ไม่ว่าจะเสื่อมจากสังขารหรือจากโรคอะไรก็ล้วนรักษาไม่ได้ทั้งนั้น  ยาที่แพทย์สามารถให้เพื่อช่วยได้บ้าง คือ ยาที่ใช้ลดอาการกระวน กระวายอยู่ไม่สุข (ซึ่งมิใช่ยาคลายเครียด)  และยาที่ช่วยให้นอนหลับ (ซึ่งมิใช่ยานอนหลับ) เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการสับสนแทรกซ้อนซึ่งจะทำให้เรื่องยุ่งยิ่งกว่าเดิมเป็นอันมาก  แต่หากมีอาการสับสนไปแล้วก็ให้ยารักษาอาการสับสนนั้นได้ หรือหากมีอาการหวาดระแวงไปแล้วก็สามารถให้ยารักษาอาการหวาดระแวงได้เช่นกัน  แต่ยารักษาเพื่อให้ความจำกลับคืนมา ไม่มี !
            สิ่งที่สำคัญกว่าการใช้ยา คือ การจัดระบบบ้านให้เหมาะ คือบ้านที่เรียบง่ายไม่รกรุงรัง  ของใช้ส่วนตัวท่านให้วางในที่ที่เห็นง่าย  ควรวางปฏิทินตัวโตนาฬิกาเรือนใหญ่ให้ท่านเห็นเสมอ  ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันอาการสับสนและหวาดระแวงที่จะแทรกซ้อนนั่นเอง  ดูแลปรับปรุงห้องน้ำให้เหมาะ  เก็บเงินที่จะหมดไปกับยาราคาแพงที่ประโยชน์ไม่ชัีดเจนมาไว้จ้างคนช่วยดูแลถ้าดูแลเองไม่ได้เต็มที่  สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ความกตัญญูอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องอาศัยการจัดการอย่างเป็นระบบด้วย ทั้งเรื่องการเงินและเวลาของลูกแต่ละคน  กำหนดสัดส่วนแรงงานและแรงเงินให้ยุติธรรมกับทุกฝ่าย  ไม่ปล่อยภาระการดูแลผู้สูงอายุที่สมองเสื่อมไว้กับลูกสาวที่ไม่แต่งงาน

ความรู้ทางวิชาการจาก  โรคจิตที่รัก,  ป่วยแค่กาย...แต่ใจยิ้ม 
โดย นายแพทย์ ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Tales of Music and the Brain

            หนังสือ Musicophilia ของ Oliver Sacks  เล่าเรื่องอาการความจำเสื่อม (amnisia) ได้น่าสนใจ  ทำให้เราเข้าใจอาการความจำเสื่อมและผู้ป่วยความจำเสื่อมได้มากขึ้นและชัดเจนขึ้นด้วยว่า ที่ว่าเสื่อมนั้นคืออะไรกันแน่  โอลิเวอร์ แซ็คส์ เป็นจิตแพทย์ เคยเขียนเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในเรื่อง Awakenings ที่สร้างเป็นภาพยนต์แสดงโดย โรบิน วิลเลียมส์และโรเบิร์ต เดอ นีโร
            แซ็คส์เล่าเรื่องนักประพันธ์เพลงและวาทยากรชื่อ ไคลฟ์ ที่ป่วยด้วยไข้สมองอักเสบ  หลังจากฟื้นไข้เขากลายเป็นคนความจำเสื่อม  จำทั้งอดีตและเรื่องใหม่ๆ ไม่ได้  เขาใช้ชีวิตเช่นปกติไม่ได้จนต้องไปอาศัยอยู่ในสถาบันที่รับผู้พิการทางสมองเอาไว้  ไคลฟ์ลืมเนื้อหาหนังสือทันทีที่อ่าน  เพียงพลิกหน้าถัดไปหรือกะพริบตา  เขาจะถือหนังสือเล่มเดิมและบอกว่าเป็นหนังสือเล่มใหม่  ไคลฟ์จำภรรยาสุดที่รักไม่ได้  ซึ่งภรรยาเขายังคงดูแลใกล้ชิดตลอดเวลายี่สิบปีที่เขาป่วย ไปเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอที่สถาบัน เขาจำอะไรเกี่ยวกับภรรยาไม่ได้เลย แต่รับรู้ได้ว่ามีความผูกพันบางประการ  ไม่รู้ว่ามาเยี่ยมถี่แค่ไหนเพราะเขาลืมทุกอย่างทันทีที่เธอกลับไป ไม่เคยรับรู้ว่าเธอมาเยี่ยมเป็นพันๆ ครั้ง ไคลฟ์จะโทรมาหาและบอกว่าไม่ได้พบเธอนานแล้วอยากให้มาหาเร็วที่สุด  เขาดีใจที่มีผู้หญิงคนนี้มาเยี่ยม เศร้าใจเมื่อหายไป  ดีใจอีกเมื่อเธอโผล่หน้ามาที่ประตูอีกแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเธอออกไปเมื่อไร  "เขาอยู่กับคนแปลกหน้าในสถานที่ใหม่ตลอดเวลา"  "ทุกครั้งที่ฉันไปหา เขาจะเข้ามาใกล้ชิด ซบฉันและร้องไห้"
            เขายังช่วยเหลือตัวเองได้ในกิจวัตรประจำวันแต่ไม่รู้ว่าทำไปหรือยัง กินมื้อไหน แต่งตัวจะไปไหนหรือไม่ไปไหน  ความจำเกี่ยวกับความหมายของคำ (Semantic memory) ต่างจากความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (Explicit memory) และแตกต่างจากความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตแต่ละช่วง (Episodic memory)   การแพทย์พบว่าลำพัง Semantic memory ที่ไม่มี Explicit memory และ Episodic memory ร่วมด้วยนั้นแทบจะไม่สามารถพาชีวิตให้เดินไปอย่างมีจุดมุ่งหมายได้เลย  เขาพูดได้แต่ถ้าถูกขัดจังหวะก็จะลืมและเปลี่ยนเรื่องพูดทุกครั้ง  เขามักพูดคนเดียวและเปลี่ยนเรื่องไปได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว  ซึ่งสำคัญมากที่จะต้องรู้ว่าเขาพูดจาลักษณะนั้นเพราะความจำเสื่อม ไม่ใช่โรคจิต  เพราะหากวินิจฉัยผิดและจ่ายยาโรคจิต จะทำให้อาการทรุดลงเนื่องจากฤทธิ์ข้างเคียงของยา
            คำถามคือ ไคลฟ์จำผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร   คำตอบคือ เขามีสิ่งที่เรียกว่า Emotional memory คือ ความจำเกี่ยวกับอารมณ์  เช่นเดียวกับทารกในทฤษฏีของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่เชื่อว่าทารกจำเหตุการณ์ไม่ได้ก็จริง แต่มี Emotional memory ฝังลึกลงในจิตใต้สำนึกและจะกลายเป็นหางเสือคัดท้ายชีวิตที่เหลือในภายภาคหน้า  ปัจจุบันเราเชื่อว่ามันฝังลงในส่วนที่ลึกที่สุดของบริเวณสมองที่เรียกว่าลิมบิก Limbic system ที่ที่ไม่มีโรคอะไรจะเข้าไปทำลายได้โดยง่าย
            การทดลองที่มีชื่อเสียงทำโดยนายแพทย์ชาวสวิส ชื่อ Edouard Claparede ในปี 1911 เขาซ่อนเข็มไว้ในมือ แล้วเดินจับมือกับผู้ป่วยที่ความจำเสื่อมจากพิษเหล้า  พบว่าผู้ป่วยเหล่านี้จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครยอมจับมือกับเขาอีกเลย
            ไคลฟ์ล้มป่วยเพียงไม่กี่ปีหลังแต่งงาน  ความรักของคนทั้งสองดูดดื่มยังไม่จางและความหลงใหลในดนตรีของทั้งสองเป็นประสบการณ์ร่วมที่พิเศษอีกชั้นหนึ่ง  นั่นทำให้ภรรยาเป็นคนสำคัญต่ออารมณ์ของไคลฟ์เสมอ  ไคลฟ์สามารถสัมผัสกลิ่นกายของเธอในอดีตและผูกพันกับบรรยากาศแห่งความรักรอบตัวคนทั้งสองในเวลานั้นซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน
            ที่น่าประหลาดใจมากที่สุดคือ ไคลฟ์ยังเล่นเปียโนหรือคีย์บอร์ดได้ไม่มีที่ติ  เขาบรรเลงเพลงคลาสสิคที่ชอบได้เป็นเลิศไม่ผิดเพี้ยน  และมีความสุขล้นเหลือกับการทำเช่นนั้นร่วมกับผู้หญิงคนนั้น
            การเล่นดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของความจำที่เรียกว่า Implicit memory  อาจแปลได้ว่าเป็นความทรงจำจากภายใน  นักปรัชญาด้านดนตรีเชื่อว่า การได้ยินเสียงท่วงทำนองของดนตรีที่แท้ไม่ใช่ "ได้ยินท่วงทำนอง" (hearing of a melody) แต่เป็น "ได้ยินไปด้วยกันกับท่วงทำนอง" (hearing with memory)  นั่นคือ ดนตรีไม่ใช่ของแปลกปลอม แต่ดำเนินไปด้วยกันกับชีวิตหรือตัวตนซึ่งภาษาทางจิตวิทยาเรียกว่า self  ไคลฟ์สูญเสียความจำทั้งหมด แต่เขาไม่สูญเสียตัวตน คือ self  

              ไคลฟ์ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีเพียงปัจจุบัน ซึ่งหายไปได้ทุกเวลาแม้เพียงกะพริบตา  ดนตรีเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาอยู่กับปัจจุบันได้นาน  
         นี่คือชีวิตของคนที่ความจำเสื่อม 
         และความสำคัญของดนตรีที่มีต่อชีวิต

ความรู้ทางวิชาการ จาก โรคจิตที่รัก,  ป่วยแค่กาย...แต่ใจยิ้ม 
โดย น.พ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556


น้ำพริก

           ... ผมได้เขียนเรื่อง น้ำพริก เป็นทำนองอาหรับราตรี ใส่ปากนางกำนัลคนหนึ่ง  ให้เล่าถวายพระเจ้าแผ่นดินในยามราตรี  แต่นั้นมาผมก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำพริก  มีคนถามกันอยู่เนืองๆ  หรือไปไหนพบผู้คนก็จะต้องเข้ามาถามเรื่องน้ำพริก มาคุยเรื่องน้ำพริกและขอร้องให้เขียนเรื่องน้ำพริก...
            เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไทยในสมัยโบราณหนักหนาทรงทราบเรื่องพระเจ้ากาหลิบจากนิยายอาหรับราตรี ก็ทรงคิดจะทำอย่างนั้นบ้าง  จึงตรัสให้หาสาวๆ มาร่วมที่พระบรรทมคืนละคน รุ่งขึ้นก็ให้เอาไปประหารชีวิตเสีย  ก็ต้องมีสาวสนมคนหนึ่งซึ่งฉลาดพอๆ กับสาวแขก  ออกอุบายหาเรื่องอะไรมาเล่าถวาย  เพื่อจะได้เล่าต่อๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด  นิทานนั้นขืนเล่าไปนานอาจจะหมดพุง  จึงเปลี่ยนแผนเอาตำรากับข้าวไทยมาเล่าถวายคืนละอย่าง  พระเจ้าแผ่นดินผู้ซึ่งโปรดเสวยอยู่แล้วก็ทรงยอมตามนั้น
            "เราจะเล่าตำรากับข้าวให้ข้าฟังอย่างนั้นหรือ  จะเอาอย่างนั้นก็ได้ กับข้าวไทยนั้นน่าฟังยิ่งกว่านิทานแขกเป็นไหนๆ  จะเอาอะไรก่อน"
            "ขึ้นต้นด้วยน้ำพริกก่อนดีไหมเพคะล้นเกล้าล้นกระหม่อม เพราะน้ำพริกนั้นเป็นอาหารหลักของไทย  เมื่อใส่น้ำพริกอย่างใดอย่างหนึี่งในสำรับแล้ว กับข้าวอย่างอื่นก็เป็นเพียงเครื่องแนมเท่านั้น  ความสำคัญอยู่ที่น้ำพริก"
            พระเจ้าแผ่นดินกลืนพระเขฬะแล้วตรัสว่า  "จะเอาอย่างนั้นก็ได้"
            "น้ำพริกในตำรากับข้าวไทยนั้นมีมากมายเหลือเกิน  เกล้ากระหม่อมฉันคิดว่า เอาตำราน้ำพริกมากราบทูลคืนละอย่างจนตายก็คงไม่หมด"
            "จะเล่าอะไรก็เล่าไปซี"  พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งอย่างร้อนพระทัย  "มัวแต่โอ้เอ้อยู่นั่นแหละ  เขาว่าผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้ล่ะ จะทำอะไรสักอย่างต้องโหมโรงและเบิกโรงนานทีเดียว กว่าจะเริ่มได้" ......... ................................ 
            "ไฮ้ ! น้ำพริกนครบาลมีจริงๆ น่ะหรือ"
            "มีจริงๆ เพคะล้นเกล้าล้นกระหม่อม และมีมานานแล้วด้วย  เครื่องปรุงมี ปลากรอบปิ้งแกะเอาแต่เนื้อ กุ้งนางเผา กากหมูเจียว..."
           "เอากันถึงเพียงนั้นเชียวหรือ" แล้วพระเจ้าแผ่นดินก็กลืนพระเขฬะอีกครั้ง
           "...น้ำพริกนี้เป็นน้ำพริกที่หรูหรามาก นึกอะไรออกก็ใส่ลงไปจนหมด... เกลือสักช้อนชาก็พอ"
           "อะไรกัน น้ำพริกใส่เกลือด้วยหรือ"
           "เพคะล้นเกล้าล้นกระหม่อม ทฤษฏีแห่งน้ำพริกมีอยู่ 2 ทฤษฏีในโลก  ทฤษฏีที่ 1 นั้นไม่ใส่เกลือ เพราะถือว่ากะปิเค็มแล้ว  ส่วนทฤษฏีที่ 2 นั้นใส่เกลือ เพราะถือว่ากะปินั้นถ้าจะใส่ให้เค็มก็จะมีแต่กลิ่นกะปิ  เกล้ากระหม่อมฉันเองตำน้ำพริกทีไรใส่เกลือทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกอะไร"
           "อือ  ฉันอยู่มาจนป่านนี้แล้วเพิ่งรู้เรื่องน้ำพริกใส่เกลือนี่"
           เขาว่ากว่าจะกราบทูลเรื่องน้ำพริกจนหมด  นางสนมคนนั้นก็แก่หงำเต็มที  แกไปแก่ตายเอาตอนเครื่องหลน

            น้ำพริกนั้นคงจะเป็นกับข้าวของไทยโดยทั่วไปมาแต่โบราณแล้ว  สังเกตดูได้จากกับข้าวไทยภาคต่างๆ นั้นมีน้ำพริกด้วยกันทั้งสิ้น  ถึงแม้ว่าน้ำพริกจะมีรสชาติแตกต่างกัน หรือใส่เครื่องปรุงผิดกัน ก็ยังเป็นน้ำพริกและหลักการก็ยังอยู่ในเรื่องน้ำพริกนั่นเอง

            รสที่เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของน้ำพริกคือ รสเผ็ดนำและมีรสเค็มตาม  หลายภาคหยุดอยู่แค่นี้ แต่มีภาคอื่นๆ เช่น ภาคกลาง ก็เพิ่มรสเปรี้ยวเข้าไปด้วยการเติมส้มมะขามหรือมะนาว  น้ำพริกภาคกลางเดี๋ยวนี้ถึงใส่น้ำตาลเข้าไปด้วยให้มีสามรส คือ เปรี้ยว เค็ม หวาน  แต่ในภาคอื่นๆ คงมีแต่เผ็ดกับเค็ม  ถึงแม้จะมีเปรี้ยวก็ยังไม่ใส่น้ำตาล  และน้ำพริกนี้ไม่ได้มีอยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น ได้แพร่หลายลงไปถึงมาเลเซีย  ที่นั่นเขาใช้หัวหอมแทนกระเทียม และตำอย่างไรก็ไม่ทราบ กินแล้วรสไม่เหมือนน้ำพริกไทย ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจกันก็บอกว่าไม่อร่อยเท่า  ข้อนี้คนมาเลเซียเองเขาก็ยอมรับ  ถ้าได้มาเมืองไทยจะต้องขอน้ำพริกกินทุกที และกินเอามากๆ แทบจะหมดเกรงใจกัน
            นอกจากน้ำพริกจะเป็นกับข้าวขั้นพื้นฐานของกับข้าวไทย ใช้รับประทานกับผักเป็นเครื่องนำให้ได้กินผักสดมากๆ แล้ว  ยังเป็นศูนย์ของสำรับซึ่งมีกับข้าวหลายอย่าง  น้ำพริกจะตั้งอยู่ตรงกลางและกับข้าวอื่นๆ ที่มาแวดล้อมประกอบสำรับนั้น ในการทำต้องคำนึงถึงน้ำพริกหรือเครื่องจิ้มก่อนว่าเป็นอะไร การคิดกับข้าว ผักและเครื่องแนมก็ต้องเปลี่ยนไปตามแต่เครื่องจิ้มที่อยู่กลางสำรับ
            น้ำพริกที่จะกล่าวถึงนี้ หรือที่เรียกว่าขั้นเบสิกนี้ เป็นที่รู้จักกันทั่วไป  ได้แก่ น้ำพริกเอาไว้จิ้มกับผักดิบและปลาทูทอดซึ่งรับประทานกันอยู่ทุกบ้าน  จะตำน้ำพริกให้เป็นต้องตำน้ำพริกครกนี้เป็นเสียก่อน ต่อไปจะเป็นตำน้ำพริกมะม่วง มะดัน ส้มมะขามเปียกหรือมะขามสด ใบมะขามอ่อน มะปราง ตะลิงปลิง กระท้อน แอ๊ปเปิ้ล ลูกหนำเลี๊ยบ ไข่เค็ม น้ำพริกเต้าเจี้ยว มีมากมายสุดที่จะพรรณนา

            วิธีทำมีดังต่อไปนี้

            เอาเกลือให้ดีเป็นเกลือเม็ดจากนาเกลือ คือเกลือทะเลนั่นแหละ (เกลืออื่นอาจะเค็มหรือจืดไป) ลงโขลกกับกุ้งแห้งให้เข้ากันดี  เติมกระเทียมสัก 10 กลีบก็พอ  เกินกว่านั้นแล้วจะไปติดต่อกับฝรั่งเรื่องค้าขายออกจะลำบากเพราะฝรั่งจะเหม็นปาก  เพียงแค่นี้ก็ต้องนั่งคุยกะระยะให้ห่างพอสมควรอยู่แล้ว ทางที่ดีควรออกอุบายให้ฝรั่งกินน้ำพริกเสียด้วยกัน แล้วจึงพูดธุระกัน เป็นปลอดภัยที่สุด
            หลังจากนั้นเอากะปิลงโขลกสัก 4 ช้อนโต๊ะ ถ้าให้อร่อยต้องหากะปิดี  ได้มาแล้วถ้าสวิงสวายกลัวโรคภัยไข้เจ็บกลัวพยาธิก็เอาห่อใบตองปิ้งไฟเสียก่อน  ตามด้วยพริกชี้ฟ้าเขียวแดงเหลืองใส่ลงไปตามชอบ โขลกพอพริกแหลก  ใส่พริกขี้หนูบุบพอแตก  โขลกแหลกอาจจะเผ็ดเกิน  ถ้าชอบมะอึกหรือพอหาได้ก็เอามาขูดขนออกแล้วหั่นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปบุบพอแตก
            แล้วจึงใส่ของอื่นๆ ที่ปรุงรสลงไปผสม  โดยใช้ช้อนคนเอาก็พอ คือ น้ำปลาแล้วแต่่ว่าจะให้ข้นหรือเหลว เติมน้ำตาลปึก บีบมะนาวให้ได้รสตามชอบ  ถึงจะชอบกินหวานสักเพียงไร ก็อย่าไปตำให้มีรสหวานนำหน้าเป็นอันขาด  เพียงเท่านี้ก็ได้น้ำพริกจิ้มผักดิบและแนมด้วยปลาทูทอด หรือจะปลาดุกย่างก็ได้  แต่สำหรับน้ำพริกครกนี้ปลาอะไรก็ไม่ดีเท่าปลาทูทอด
            ถ้าอยากจะทำให้น้ำพริกครกนี้น่าสนใจ ตื่นเต้นหรือโรแมนติกขึ้นไปอีก  ก็ต้องใส่เมล็ดมะเขือ  มะเขือขื่น หรือที่เรียกว่ามะเขือเหนียวหรือมะเขือเหลืองนั้น   ผ่าเอาแต่เมล็ด ละลายในน้ำพริก  ถ้าไม่ชอบมะเขือขื่นจะใช้มะเขือพวงเผาไฟแล้วโขลกลงไปก็ได้  แต่ต้องระวังเพราะถ้ามากไปหรือน้อยไปอาจจะทำให้น้ำพริกมีรสแปรเปลี่ยนไปได้ ........

จาก  "น้ำพริก"  โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช  (ครัวบ้านและสวน ในเครืออมรินทร์)


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556


          "หัวใจมีเหตุผล  ที่เหตุผลไม่รู้จัก"
Blaise Pascal แบลซ ปัสกาล นักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้เคร่งครัดศาสนา

                  ...เมื่อทุกคำถามไม่ต้องมีคำตอบเดียว  
            หลักของเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องมีแบบเดียว

             "หัวใจ" ก็มีเหตุผลแบบหนึ่งที่ "สมอง" ไม่รู้จัก  
          เป็น "เหตุผล" ที่ไม่ตรงกับหลักของเหตุผลทั่วไป...

           ถ้าโลกนี้มีหลักการในการตัดสินใจอยู่สองอย่าง คือ "เหตุผล" และ "ความรู้สึก"
คนส่วนใหญ่มักเทคะแนนให้กับ "เหตุผล"  เพราะเหตุผลจะทำให้เราวัดข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกได้อย่างมีตรรกะ  แต่ความรู้สึกไม่มีตรรกะอะไรรองรับ  มีเพียงอารมณ์   "ชอบ ไม่ชอบ"  หรือ  "อยากทำ ไม่อยากทำ"  ไม่มีเหตุผลเลย
            ดังนั้น เราจึงมักสรุปว่าการตัดสินใจของคนเราต้องใช้  "เหตุผล" มากกว่า "ความรู้สึก"  ฟังดูแล้วมีเหตุผลใช่ไหมครับ  แต่ผมมีเรื่องเล่าสองเรื่องจะเล่าให้ฟัง
            เรื่องแรก  สมมุติว่าถ้าคุณมีทางเลือกสองทาง 
            ทางแรก  วันที่ 1 มีนาคม  คุณต้องทำงานเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 3 ชั่วโมง
            ทางเลือกที่สอง  วันที่ 15 มีนาคม คุณต้องทำงานเพิ่มขึ้นจากเดิม 4 ชั่วโมง  คุณจะเลือกทางไหน
            ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเลือก "ทางที่หนึ่ง"  เพราะด้วยหลักของเหตุผลแล้วคงไม่มีใครอยากทำงานหนัก  เพิ่ม 3 ชั่วโมงย่อมดีกว่า 4 ชั่วโมง
            แต่เชื่อไหมครับ ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกา บอกว่ามีคนจำนวนมากที่เลือกทางที่สอง คือ ทำงานเพิ่มขึ้น 4 ชั่วโมง
            ตัวแปรก็คือ เขาเจอคำถามนี้วันไหน
            ถ้าถามตั้งแต่เดือนมกราคม  สองเดือนล่วงหน้าก่อนจะทำงานเพิ่มจริง  คนจะใช้ "เหตุผล" ในการตอบ  ใครๆ ก็อยากทำงานเพิ่มน้อยที่สุด
            แต่ถ้าเราต้องตอบคำถามนี้ในวันที่ 1 มีนาคมเลย  ทางเลือกยังคงมีสองทางเหมือนเดิม  ถ้าเลือกทางที่หนึ่งจะต้องทำงานเพิ่ม 3 ชั่วโมง คือ "วันนี้" เลย  แต่ถ้าทางเลือกที่สอง จะต้องทำงานเพิ่ม 4 ชั่วโมงในอีก 15 วันต่อมา
            เชื่อไหมครับ เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้  พลังแห่ง "เหตุผล" จะลดลง  และพลังแห่ง "ความรู้สึก" จะมาแรงแซงโค้ง  ผลวิจัยบอกว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกข้อ 2  ไม่ยอมทำงานหนักในวันนี้  ขอเลื่อนไปอีก 15 วัน  แม้จะต้องทำงานหนักมากกว่าวันนี้ก็ยอม  
            คนส่วนใหญ่เลือกมีความสุขในวันนี้  ส่วนความทุกข์นั้น ขอตีเช็คล่วงหน้า 15 วัน

            เรื่องที่สอง เป็นเรื่อง "ความรัก"

            มีคนเคยบอกว่า แม้จะหา "เหตุผล" ที่ดีที่สุดเท่าที่โลกนี้พึงมี  แต่ถ้าปราศจาก "ความรู้สึก" เหตุผลนั้นก็ไม่สามารถใช้กับ "ความรัก" ได้  เพราะ 
              "ความรัก" เป็นเรื่อง  "ความรู้สึก" ครับ  ไม่ใช่  "เหตุผล"
                      ไม่มีเหตุผลว่า เราควรจะรัก หรือ ควรจะไม่รักใคร
                        มีแต่รู้สึก "รัก"  หรือ  "ไม่รัก"
        แต่มีอีกคนหนึ่งแย้งว่า ที่คิดกันแบบนี้เพราะเราแยกคำว่า "เหตุผล" กับ "ความรู้สึก" ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง  เหมือน "น้ำ" กับ "น้ำมัน"  อยู่กันคนละขั้ว อยู่กันคนละชั้นวรรณะ ไม่สามารถรวมกันได้เลย  เขาบอกว่าตรรกะแบบนี้ "ผิด"
            เพราะแท้จริงแล้ว  "ความรู้สึก" กับ "เหตุผล"  ไม่ได้แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง

                     "ความรู้สึก"  คือ "เหตุผล"  อย่างหนึ่ง

            เพียงแต่เป็น "เหตุผล" ที่มาจากอวัยวะเล็กๆ ขนาดเท่ากำปั้นที่อยู่ตรงหน้าอกข้างซ้าย ที่เรียกกันว่า  "หัวใจ"  ไม่ใช่เหตุผลจาก "สมองซีกซ้าย" เท่านั้นเอง
            ในโลกแห่งความเป็นจริง  เราคงไม่สามารถใช้ "ความรู้สึก" ตัดสินใจทุกเรื่อง  หรือใช้ "เหตุผล" กับทุกสิ่ง   บางเรื่องต้องใช้ "เหตุผล"  บางเรื่องต้องใช้ "ความรู้สึก"
            แต่เรามักจะใช้  "เหตุผล"  ในการตัดสินใจมากเกินไป  จนบางครั้งละเลยหรือลืม "ความรู้สึก" ของตัวเรา   ผมเองก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ  ลืมความปรารถนาหรือความต้องการที่แท้จริงของเรา

            ทั้งที่ "ความรู้สึก" เป็น "เหตุผล" ที่มีพลังอย่างยิ่ง

      ถ้า "สมอง" มีรอยหยักที่แสดงถึงความฉลาดและ "เหตุผล"
                         "หัวใจ" ก็มีรอยยิ้มที่แสดงถึงความสุข
               การตัดสินใจด้วยสมองที่ไม่ลืมความรู้สึกของหัวใจ
                      เราจะได้ความสำเร็จที่เปี่ยมด้วยความสุข

จาก  คำนำผู้เขียน,  ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 19   ความรู้สึก คือเหตุผลอย่างหนึ่ง 
โดย 'หนุ่มเมืองจันท์'




วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556


สีของพืช ผักและผลไม้สำคัญอย่างไร

          เมื่อพูดถึงสีของผักและผลไม้ หลายคนคงจะเคยเห็นหรือเคยรับประทานผัก และผลไม้ที่มีสีสันต่างๆ มากมาย แล้วรู้หรือไม่ว่าผัก และผลไม้ ที่มีสีต่างๆ เหล่านี้ แต่ละสีมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร
          ผักและผลไม้ที่เรารับประทานกันในชีวิตประจำวันนั้นมีหลายสี เช่น สีแดง สีเหลือง สีม่วง สีส้ม และสีเขียว เป็นต้น ซึ่งสีต่างๆ เหล่านี้เกิดจากสารสีที่มีอยู่ในออร์แกเนลล์ที่เรียกว่า พลาสติด (plastid) มีสีแตกต่างกัน จำแนกได้ 3 ชนิด คือ

          1. คลอโรพลาสต์ (chloroplast) เป็นพลาสติดที่มีสีเขียว เนื่องจากมีสารสีชนิดคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ นอกจากนั้นคลอโรพลาสต์ยังเป็นแหล่งสร้างอาหารของเซลล์พืชอีกด้วย

          2. โครโมพลาสต์ (chromoplast) เป็นพลาสติดที่มีสารสีที่ทำให้เกิดสีต่างๆ ในพืช ยกเว้นสีเขียว จึงทำให้ดอกไม้ ใบไม้และผลไม้ มีสันสวยงาม เช่น ผลของพริก รากของแครอท เนื่องจากมีสารพวกแคโรทีนอยด์จึงทำให้เกิดสีแดง สีส้ม และสีเหลือง เป็นต้น

          3. ลิวโคพลาสต์ (leucoplast) เป็นพลาสติดที่ไม่มีสารสี มีหน้าที่สะสมเม็ดแป้งที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง พบในเซลล์รากและลำต้นส่วนที่ไม่มีสี เช่น มันเทศ มันแกว เผือก หัวไชเท้า ถั่วงอก เป็นต้น ผลไม้ เช่น กล้วยดิบ มะม่วงดิบ  และใบพืชพบบริเวณที่ไม่มีสี เช่น ใบสาวน้อยประแป้ง ใบพลูด่าง เป็นต้น

สารสีแต่ละชนิดมีชื่อเรียกต่างกัน มีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ ดังนี้

          คลอโรฟิลล์(chlorophyll) เป็นสารสีเขียว อยู่ในคลอโรพลาสต์ ละลายในน้ำมัน พบในผักและผลไม้ที่มีสีเขียว เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ตำลึง ผักกวางตุ้ง บัวบก บวบ แตงกวา พริกหวานสีเขียว แอปเปิลเขียว พุทรา มะเขือ เป็นต้น คลอโรฟิลล์เป็นสารป้องกันการเกิดมะเร็ง และช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในร่างกาย

          แคโรทีนอยด์ (carotenoid) เป็นสารสีส้ม เหลือง อยู่ในโครโมพลาสต์ ละลายในน้ำมัน แคโรทีนอยด์มีหลายชนิด เช่น เบตาแคโรทีน (betacarotene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็ง และช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือด พบในผักและผลไม้ที่มีสีส้ม เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุก แครอท  ลิวทีน (lutein) ช่วยป้องกันความเสื่อมของของเรตินาของดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สายตาฝ้าฟาง พบในผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ข้าวโพด ไลโคพีน (lycopene) พบในผักและผลไม้ที่มีสีแดง เช่น  มะเขือเทศ แตงโม เบตาไซยานิน (betacyanin) พบในแวคิวโอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง พบในทับทิม บีทรูท และแคนเบอรี เป็นต้น

          ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นกลุ่มสารสีที่ทำให้พืชมีสีที่หลากหลายขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเคมีของสาร เช่น อาจจะมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง หรือให้สีอ่อนมาก โดยสามารถศึกษาตัวอย่างโครงสร้างของสารกลุ่มนี้ได้ใน http://chemistry.about.com/library/weekly/aa082602a.htm  ฟลาโวนอยด์มีหลายชนิด บางชนิดอยู่ในผนังเซลล์ เช่น ฟลาโวนอล กลีโคไซด์ (flavonol glycosides) พบในกลีบดอก บางชนิดอยู่ในแวคิวโอล เช่น
          1. แอนโทไซยานิน (anthocyanin) เป็นสารสีในกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่ให้สีม่วง น้ำเงิน และละลายในน้ำ พบในดอกไม้ ผัก และผลไม้ เช่น ดอกอัญชัน กะหล่ำม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เป็นต้น แอนโทไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง และบำรุงหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ ชะลอการเกิดโรคไขมันอุดตันในหลอดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัวได้  นอกจากนี้สารแอนโทไซยานินในดอกอัญชันยังเพิ่มความสามารถในการมองเห็นหรือชะลอความเสื่อมของดวงตาอีกด้วย
          2. ฟลาโวนอล (flavonol) เป็นสารสีกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่ให้สีเหลือง เหลืองอ่อนมากจนเกือบไม่มีสี พบในผักและผลไม้จำพวก กะหล่ำดอก กระเทียม ขิง มันฝรั่ง ผักกาดขาว หัวปลี ถั่วงอก งาขาว ลูกเดือย แอปเปิ้ล ฝรั่ง แก้วมังกรพันธุ์เนื้อสีขาว เป็นต้น  ซึ่งสารสีกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเป็นโรคมะเร็งโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินอี รวมทั้งสามารถลดไขมัน และคอเลสเทอรอลในเลือดได้

          จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าสารสีที่มีอยู่ในพืชนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากมาย ไม่น่าเชื่อว่าสีของผักและผลไม้แต่ละชนิดนอกจากจะให้ทำให้พืชมีสีสันสวยงามแล้ว  ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกันอีกด้วย  ดังนั้นเราควรเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีสีสันต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกายอย่างสูงสุดและครบถ้วนในทุกด้าน


ความรู้จาก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สาขาวิชาชีววิทยา 
โดย วิลาส  รัตนานุกูล
The Institute of the Promotion of Teaching Science and Technology

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

กับดักสุขภาพ 10 ประการ ที่คนไทยใหลหลง

โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

      พูดถึงสุขภาพ ใครๆ ก็รักสุขภาพกันทั้งนั้น  แต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับบางกรรมวิธีซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม

กับดักสุขภาพประการที่ 1

ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี

            คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือกันว่า หมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดี ก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้ามีประโยชน์ขนาดนั้น ตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่าแค่นดื่ม กันเลยละ พวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่จำกัดจำนวนเพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี
            คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เกิดอาการปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่าย นานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
            เหตุผล: ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆ ที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยังเป็นประโยชน์กับร่างกายที่ปัสสาวะชะผ่านไป ให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆ ไตยังทำหน้าที่ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะ ด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังในการทำงานเยอะ นานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า พร่องพลังไต
            เปรียบเทียบง่ายๆ ว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่งที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆ ฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด นานเข้าเขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น
            แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ตามปกติเรามีน้ำในมื้ออาหารอยู่แล้ว  สำหรับคนที่พร่องพลังไตอยู่แล้ว ก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว จึงจะแก้สถานการณ์ได้
            ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้านั้น แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลายกินแต่ข้าวขาว กินหมูกินไก่ ผักไม่ค่อยกิน เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจน หมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก แต่ถ้าเรากินข้าวกล้องผักผลไม้มากพอก็ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น

กับดักสุขภาพประการที่ 2

นอนดึก ตื่นสาย

            คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น แต่ตกดึกมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์หรือไม่ก็บนจอคอมพิวเตอร์เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยามแล้วเข้านอน กะว่าตื่นเอาสายก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้  ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้า หรือวัยทำงานที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด
            ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึกตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่พออยู่แล้ว สุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วนคนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดี นานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆ อีกเหมือนกัน
            เหตุผล: เพราะแท้ที่จริงสัตว์ต่างๆ ล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่า สัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวันหรือสัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียวต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน เพราะมีเรดาร์มีตาโตเอาไว้ใช้งานตอนกลางคืน แต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน
            เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือ ตัวซาลาแมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผากคอยทำหน้าที่รับแสงตะวัน  เวลากลางวันแสงสว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนิน ทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน
            เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมนเมลาโตนินทำให้มันง่วงเหงาเข้ารูนอน  ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคน เกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผากกลายเป็นต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียล ยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกทีต่อมนี้คือนาฬิกาชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้า  และกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ
            การตากแสงไฟดึกๆ จึงเป็นการรบกวนต่อมไพเนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่วร่างกาย มันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะ ถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน ฮอร์โมนทั่วร่างกายก็ผิดเพี้ยนไปด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตา สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้ เฟลเลอร์จูงใจให้ทำ ทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน  ทำอยู่เช่นนั้นหลายๆ วัน ปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูก นี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปรปรวนของระบบฮอร์โมนในร่างกาย เพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา
            งานวิจัยอีกชิ้นในสหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึก กลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆ ไปเข้านอน อีกกลุ่มให้เดินผ่านแสงตะวันยามเช้าไปเข้านอน  เมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกาย พบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมนแปรปรวนไปหมด  ขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ นี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา   แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึก

กับดักสุขภาพประการที่ 3

กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่

            แต่ไพล่ไปดื่มนม นิตยสาร Time ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 1999  บอกว่า "Cholesterol-Good News" ยืนยันว่า โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเราสร้างจากภายในตัวเราเองถึง 90% มีเพียง 10% ที่เป็นผลกระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหาร และวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัว ดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่งของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก Black list
            ทางโภชนาการที่อเมริกา แต่ตรงกันข้าม แหล่งของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่งเล็งทางสุขภาพ ตัวสำคัญได้แก่ นม เนย ชีส รวมทั้ง peanut butter
            ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัวไข่กันมามากกว่า 10ปี จนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง 130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้น เพราะถูกประโคมข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดี ผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปี รวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50% ของประชากรในเมือง
แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี พูดง่ายๆ ว่าอยู่ในวัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากร  เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น
            มาดูอย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำกว่าคนไทย การดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง
            ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการศึกษาสูง กำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่ เขาสร้างไข่ชนิดใหม่ เรียกว่า ไข่โคลัมบัสไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วโคเลสเตอรอลไม่สูง (ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น) แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเขาถือว่าอาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6
            ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วย เป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก   จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว มีนิสัยชอบกินนม กินเนย ก็ขอแนะนำให้งดเนย งดนม กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน

กับดับสุขภาพ ประการที่ 4

ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน

            เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูง จนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมันเกินกว่าเหตุ ตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร แต่ไม่กินไขมันเลย เป็นเวลาหลายๆปี จนกลายเป็นภาวะพร่องไขมัน
            แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ ในร่างกายของเรามีไขมันอยู่ 3 ชนิดใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอล สองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิด เราใช้โคเลสเตอรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซล ส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือด ส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์ประสาท ฯลฯ
            จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลย ทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะเกิดโรคจะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนักตัว 35 กก. จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมา อย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม พร้อมกับบอกว่า"หนูต้องการลดน้ำหนักค่ะ"
            เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจ บอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียวเหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์ก ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิด ผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของเธอก็บอกได้เลยว่า เธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมาก ถามประวัติอีกหน่อยก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ และที่สำคัญก็คือ เธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว   นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่องไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศ ทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่า ความเข้าใจผิดๆประการนี้ ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของแฟชั่น คิดดูก็น่าใจหาย
            ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ สัตว์ใดแข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุด สังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง และดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้ หรือหลงไปในทางอวิชชา สุดท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาวหลงรายนี้ ธรรมชาติก็คงบอกว่า "สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือน และอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ" นี่คือการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน
            มีกรณีตัวอย่างขนาดเบาๆอีกตัวอย่างหนึ่ง คือพี่สาวของผมเอง ซึ่งไปได้ตำแหน่งงานดีๆ ที่วิทยุแห่งชาตินครปักกิ่ง ประเทศจีนโน่น เธอเป็นผู้รักสุขภาพเช่นเดียวกัน และมักจะดูแลตัวเองและสามีเรื่องระดับโคเลสเตอรอลในเลือดด้วยเหมือนกัน เธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาและกินผลไม้สม่ำเสมอ เมื่ออยู่เมืองไทย เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินไขมัน   เมื่อไปอยู่ปักกิ่ง เธอก็ยังคงควบคุมอาหารเหมือนเมื่ออยู่เมืองไทย เธอสู้อุตส่าห์หาข้าวกล้องที่เมืองจีนมาหุงกินเป็นประจำ นับเป็นการแสวงหาที่ยากลำบากมาก เพราะคนจีนยังไม่ตื่นตัวเรื่องกินข้าวกล้อง แต่สามีเธอก็สู้อุตส่าห์หามาให้ครอบครัวได้กินกันจนได้
            สิ่งที่เธอกังวลก็คือ อาหารปักกิ่งล้วนแต่เป็นอาหารมันๆทั้งนั้น ซึ่งขัดกับนิสัยการคุมไขมันของเธอ เธอจึงพยายามกินอาหารปักกิ่งให้น้อยที่สุด ตื่นเช้าต้มข้าวต้มกินกับกับข้าวง่ายๆ ตอนเที่ยงจำต้องกินอาหารจีน แต่พอตกเย็น บ่อยครั้งที่เธอจะไม่กินข้าว จะกินแต่ผลไม้แทน   ผลปรากฏว่า เมื่อตกเข้าหน้าหนาว เธอมีอาการหนาวจนแทบจะทนไม่ไหว และก็ไม่ค่อยรู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม พอดีผมไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่ง และกินอาหารอยู่ในบ้านด้วยกัน ก็เป็นอันถึงบางอ้อ เพราะแท้ที่จริงเธอคุมน้ำมันจนสุดขั้วเกินไปนั่นเอง
            ธรรมชาติบำบัดจะบอกว่า "กินอยู่ตามวัฒนธรรมพื้นบ้าน" ผู้คนในเมืองไหนๆ จะมีประเพณีการกินอยู่ตามวัฒนธรรมของตัวเอง การที่ผู้รักสุขภาพอย่างเธอ ไปอยู่เมืองจีนซึ่งมีอากาศหนาวกว่าบ้านเรามากนักแล้วฝืนตัวเอง ไม่กินอาหารมันๆ ก็ย่อมพร่องแคลอรี จนเสี่ยงที่จะเกิดเจ็บป่วยได้นั่นเอง
            สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือ กินอาหารแต่ละมื้อให้มีอาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผัก มีไข่เจียว มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อ  นั่นคือทางสายกลางที่เลือกเดินได้

กับดักสุขภาพ ประการที่ 5

กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง

            ผลไม้น่ะดี เพราะเป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะก็ช่วยจรรโลงสุขภาพได้
            อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวาน จึงเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้ว และคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้ โดยแบ่งกินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้น แต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี เราก็ไม่ให้กินผลไม้เลย ซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน
            ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลาง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้วแล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้
            ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด เช่นทุเรียน ขนุน ลำไย เหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์ ซึ่งบอกว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อน พลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลงดิน แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้ หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจ แต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้ว จึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้ แมกโครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่ง จึงไมแนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลย แต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกินได้อย่างทางสายกลาง
            ประการที่สอง บางคนกินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็น คือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กินผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนักหรือลดไขมันเลือด  ผลก็คือน้ำหนักตัวยิ่งขึ้นไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ ผลไม้มีความหวาน เมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือด และถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันในเลือด คนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง และไตรกลีเซอไรด์มีมากก็ถูกเก็บไว้ที่แก้มก้นและพุงกระทิได้จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี


กับดักสุขภาพประการที่ 6

ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ

            ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย  เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกร ที่เป็นตัวแทนของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ ผู้บริโภค ขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามิน ยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และไม่รู้จักคำว่า anti-oxidant แม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียจะมีเรื่องราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตาม เพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทย จะล่าช้ากว่ากันประมาณ 10 กว่าปี
            ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จัก วิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันตาบอดกลางคืน รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิด ซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้น แต่ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่ง จำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี 2534 จึงได้แนะนำเรื่องของสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย ศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิตามินก็มีบทบาทเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีความรู้เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535
            นับเป็นครั้งแรกที่มี การจัดบรรยายเรื่องราวทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟังเป็นจำนวนมากๆ และเป็นที่มาของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่างๆทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุค ปัจจุบันนี้ และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรมธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ 13 ปี
            การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์ ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกาย และหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือ วิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือด กระทั่งโรคมะเร็ง ก่อนอื่นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อน ส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ดๆนั้น ใช้เมื่อจำเป็น แต่ก็ทำให้วิตามินและอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี
            กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจ ได้กระทบกระเทียบว่า "การกินวิตามิน รังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง" พูดง่ายๆว่า เปล่าประโยชน์ที่จะกินวิตามิน  เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยัง ไม่รู้เรื่องของ free radicals กันเลย  ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซีธรรมชาติกำลังขายดิบขายดี ก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า "ระวังกินวิตามินซีมากจะเป็นนิ่วในไต"  ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย ตามปกติในลำไส้ของเราจะมี receptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซี ประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตามความต้องการของร่างกายในแต่ละขณะ
      คนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ 1,000 มก.
      ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น 2,000 มก.
      ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 มก.
      และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น 10 พัน-50พัน มก.
            ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการ ก็จะไม่ดูดซึมและถ่ายทิ้งไป ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละ การเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้
            การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนั้น และยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLM ชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่างไม่อั้นก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อนั่นเอง
            มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะก่อน ก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่า สารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาล สกัดกลั่นอย่างไรก็เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมด เพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว 4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิด และสารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิด แต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย
            กิเลสของคนเราก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนัก จะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กินให้หุ่นดี กินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลายฟัง พิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก คือเวลาเชิญเราไปบรรยาย เขาจะเร่งให้เรารีบๆ กินอาหารให้จบๆ ไปก่อน แล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิกแล้วเชิญเราขึ้นพูด ดูไฮคลาสพอสมควร คืออย่างน้อยเราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลก  ต่างกันตรงที่ว่า เนื้อหาของเราที่บรรยายคุณภาพคับแก้ว บรรจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก
            พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลาย จะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่า วิตามินตัวนั้น ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้น หลายๆท่านจะพกกระเป๋ามา 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร เล่นกินโต๊ะจีน กินอาหารฝรั่งอย่างที่เรากินกันมื้อนี้ กินไปอีกกี่ขวดก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี"   ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึกถึงความตรงไปตรงมาของผม จากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย
            ครับ เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง แต่เมื่อป่วยเจ็บเสียเต็มประดา อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็ง การเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป และถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บ ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน   อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วย วิตามินที่เกินความจำเป็น แค่กินอาหารให้ถูกส่วน กินผักผลไม้เยอะๆ ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ

กับดักสุขภาพ ประการที่ 7

กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป

            ยุคนี้เป็นยุคของการคืนสู่ธรรมชาติ และเมื่อพูดถึงธรรมชาติใครๆก็มักจะนึกถึงสมุนไพร มีผู้รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยที่หนีจากการกินยาแผนปัจจุบัน แล้วหันไปกินยาสมุนไพรโดยคิดอย่างเถรตรงว่าขึ้นชื่อว่าสมุนไพรแล้ว ย่อมไม่มีผลร้ายแต่ประการใด นั่นนับเป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่ง
            แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่ายาสมุนไพรก็หมายถึง สิ่งที่กินเพื่อบำบัดรักษาโรค แต่นำมาจากพืชและสัตว์ ถ้ามาจากสัตว์ก็เรียกว่า สัตว์สมุนไพร ถ้ามาจากพืชก็เรียกว่า พืชสมุนไพร ในสัตว์และพืชย่อมมีสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะออกฤทธิ์ช่วยบำบัดรักษา โรคให้กับคนเรา สารอินทรีย์เหล่านี้ย่อมต้องการปริมาณที่พอเหมาะไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไปในการออกฤทธิ์รักษาโรค
            ทีนี้เมื่อจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค จึงต้องศึกษาวิธีการใช้และปริมาณการใช้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีกรณีใหญ่ๆ ที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคอย่างไม่ถูกวิธีจนถึงขั้นเกิดอันตรายร้ายแรงกับผู้ใช้  เช่นการใช้ผลมะเกลือคั้นน้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิ  ถ้าทำอย่างผิดวิธีก็ถึงขั้นทำให้เด็กที่กินถึงกับตาบอดได้
            อีกกรณีหนึ่งคือ การใช้ใบขี้เหล็กรักษาอาการนอนไม่หลับ  แกงขี้เหล็กที่คนไทยรู้จักกันดี สามารถกินกันได้อย่างสนิทใจ และมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ช่วยไม่ให้ท้องผูกและนอนหลับสบายอีกด้วย ต่อมามีการค้นพบว่าใบขี้เหล็กยังมีสารยาซึ่งออกฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับ  จึงมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็นชนิดเม็ด และกระบวนการผลิตก็กระทำกันอย่างง่ายๆ โดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้ง บดเป็นผงแล้วทำเป็นเม็ดขึ้นมาเลย  ซึ่งแม้แต่องค์กรรัฐวิสาหกิจทางด้าน เภสัชกรรมก็ยังเป็นผู้นำหน้าในการผลิตขี้เหล็กเม็ดขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาด
            อย่างไรก็ดี เมื่อขี้เหล็กแคปซูลเหล่านี้เข้าถึงผู้บริโภคอยู่พักใหญ่   ก็เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่า เริ่มพบผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุอื่นนอกจากประวัติที่ว่าได้กินขี้เหล็กแคปซูลมาพักหนึ่ง   หลังจากได้ติดตามค้นคว้ากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีผลยืนยันออกมาว่า ผู้คนที่มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้นสูงเหล่านั้นต้องพิษจากสารบางอย่างในใบขี้เหล็กนั่นเอง เป็นผลให้ต้องมีการประกาศให้เลิกใช้ยาเม็ดขี้เหล็กไปทั่วประเทศ
            คำถามมีว่า เหตุใดคนโบราณจึงกินแกงขี้เหล็กโดยไม่ปรากฏอันตรายขึ้น เหตุผลน่าจะอยู่ที่ว่าบรรพบุรุษของเรากินขี้เหล็กโดยเอามาแกง ความร้อนได้ทำลายสารพิษบางอย่างในขี้เหล็กไปแล้ว จึงปลอดภัยในการกิน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กผงมาทำเป็นเม็ด ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำความร้อน สารพิษจึงยังคงอยู่
            เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกินอยู่อย่างบรรพบุรุษได้แฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาในการเลือกกินเลือกอยู่ในปลอดภัยไร้โรค  แต่เมื่อคนสมัยใหม่คิดจะสุขภาพดีทางลัด โดยลัดภูมิปัญญาของท่านด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

กับดักสุขภาพ ประการที่ 8

ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ

            สมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขนึกสนุกขึ้นมา จะพาคนไทยเต้นแอโรบิกส์ให้ได้จำนวนมากๆ เพื่อลงกินเนสบุ๊ค  ก็แห่กันไปเต้นกันย็อกแย็กอยู่วันเดียว  เพื่อให้ได้ชื่อว่าลงบันทึกที่สุดในโลกเล่มนั้นงานนั้นเล่นเอาท่านอาจารย์เสม พริ้งพวงแก้ว สร้างความใจหายใจคว่ำให้แก่ลูกๆ ทั่วประเทศ ด้วยห่วงว่าท่านจะเกิดอาการไม่สบายขึ้นมาอย่างกระทันหัน โชคดีว่าไม่เป็นอะไร  แต่เบื้องลึกของงานดังกล่าวคือเสื้อเหลืองถูกแจกจ่ายไปโดยกะเกณฑ์กันให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันไปเต้นกันให้มากๆ  ทั้งๆ ที่คนเต้นจำนวนไม่น้อยเกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยออกกำลังกายเลย แต่ไปเพราะใจที่ถูกกะเกณฑ์และไปเพราะมีเสื้อเหลืองบังคับอยู่
           มาในวันนี้เสื้อสีเหลืองถูกเปลี่ยนมือ เปลี่ยนสถานที่สวมไปอยู่แถวสวนลุมพินีเสียแล้ว นั่นแสดงถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใด พฤติกรรมเต้นแอโรบิกหมู่สะท้อนถึงความเห่อตามสมัยนิยมไปอย่างนั้นเอง
            คนอีกจำนวนหนึ่ง เข้าฟิตเนสอย่างไม่รู้จักจุดมุ่งหมายของฟิตเนสให้ดีพอ คิดแต่จะไปวิ่งลดน้ำหนัก บางทีอาจเสียเงินแล้วอาจเสียสุขภาพก็ได้
            ก่อนอื่นคำว่าฟิตเนสมีความหมายกว้างไกลกว่าการวิ่งสายพานหรือเล่นลูกน้ำหนัก เพราะฟิตเนสหมายถึงความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่ง Garry Null และ Martin Feldman ได้ให้คำนิยามไว้ว่า Fitness ในโลกยุคปัจจุบันประกอบด้วย 3 ประการคือ

            1. Cardio-vascular Fitness ความแข็งแรงของหัวใจหลอดเลือด
            2. Immunity Fitness ความแข็งแรงของภูมิต้านทาน
            3. Anti-oxidant Fitness ความแข็งแรงของการล้างพิษอนุมูลอิสระ

            ความแข็งแรงทั้ง 3 ประการจะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม  ออกกำลังกายแอโรบิกส์ที่ 60% Maximum heart rate  ในระดับดังกล่าวจะได้ทั้งการฝึกฝนหัวใจหลอดเลือดเข้าสู่ภาวะแอโรบิกส์  ขณะเดียวกันอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นไม่มากไม่น้อย โดยอนุมูลอิสระจำนวนพอเหมาะจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้แข็งแรงพอดิบพอดี  ถ้าออกกำลังมากไปกว่านั้น อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นล้นเกิน ทำให้ภูมิต้านทานลดต่ำ และเป็นเหตุให้ร่างกายสึกหรอเพิ่มขึ้นอีกด้วย
            นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผู้ออกกำลังกายยังต้องรู้จักการกินอาหารที่เหมาะสม กินผักผลไม้ให้มากเพื่อลดอนุมูลอิสระ ถ้ากินได้มากเพียงพอ คือ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน ก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอโดยไม่ต้องกินวิตามินชนิดเม็ดแต่ประการใด
            การออกกำลังกายยังต้องกระทำทั้งทางร่างกายและทางจิตด้วย  การออกกำลังทางจิตทำได้โดยฝึกลมหายใจ ฝึกลมหายใจให้ยาวจนถึงระดับ 6 ครั้ง/นาที จะนำจิตเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งหรือสมาธิ

การเข้าฟิตเนสนั้นดีอยู่ แต่ควรสนใจใช้อย่างมีคุณภาพดังนี้

      1.ออกกำลังกายตามความสามารถของตนไม่ใช่เร่งตัวเองไปตามแรงเชียร์ของพนักงาน  ปัจจุบัน ฟิตเนสส่วนหนึ่งจ้างพนักงานโดยจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานคนนั้นเรียกได้จากลูกค้า  จึงเกิดการ "เชียร์แขก" กันสุดขั้วไปข้างหนึ่ง หลายคนกล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้อีกตลอดชีวิต
      2.ฟิตเนสมิได้มีไว้ลดน้ำหนักสถานเดียว ต่อให้วิ่งจนลิ้นห้อย อาจเผาพลังงานไปเพียง 120-150 กิโลแคลอรีด้วยเวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งเท่ากับข้าวต้มหมูชามเดียว ใครที่กินราดหน้าก็ต้องวิ่งถึง 45-60 นาทีโดยประมาณ วิ่งสายพานอย่างเดียวจึงไม่ใช่สรณะของการลดน้ำหนัก ต้องปฏิบัติอย่างองค์รวม และผู้ประกอบการฟิตเนสก็ควรแสวงหาความรู้และแนวทางปฏิบัติอย่างองค์รวมเพื่อลูกค้าของตน
      3.อุตส่าห์เสียเงินสมัครฟิตเนสแล้ว ก็ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ กว่าร้อยละ 80 ของสมาชิกฟิตเนสมักเห่อประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ทิ้งเงินไป  นี่คือบริโภคนิยมอีกแบบหนึ่งที่ไม่น่านิยม เสียทั้งเงินแถมไม่ได้สุขภาพที่ดีอะไรกลับมานอกจากบัตรหนึ่งใบที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกฟิตเนส

กับดักสุขภาพ ประการที่ 9

สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค

            คนไทยเห่ออะไรกันง่ายๆ โดยทำตามกันเป็นกระแส จึงมักจะสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง เรื่องการสวนกาแฟก็เช่นเดียวกัน เกิดเสียงร่ำลือกันว่า สวนกาแฟทำให้ผอมจากคำให้การของดารานางแบบคนหนึ่ง จากนั้นกระแสสวนกาแฟก็เบ่งบาน
            แทนที่จะเป็นเรื่องดี กลับทำให้การสวนกาแฟกลายเป็นเรื่องตลกร้ายทางสุขภาพมาตลอดปี คือ สวนกาแฟผิดวัตถุประสงค์ เข้าใจว่าสวนเพื่อลดความอ้วน สวนเพื่อแก้ท้องผูก บางคนใช้กาแฟเกินพิกัด สวนแล้วตาสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน บ้างก็สวนพร่ำเพรื่อจนกลายเป็นการเสพติดการสวนกาแฟ แถมเมื่อเกิดอาการมือสั่น ใจสั่นหลังสวนกาแฟ ยังไปร่ำลือผิดๆว่า เป็นเพราะกาแฟกำลังช่วยให้เกิดการ ดีท็อกซ์อยู่ หารู้ไม่ว่านั่นคือ อาการต้องพิษกาแฟ บางคนสวนแล้วสวนอีกวันละ 2-3 ครั้ง ก็กลับสนับสนุนกันไปใหญ่
            ที่จริงการที่คนเหล่านั้นต้องสวนบ่อยมากเพราะเกิดอาการเสี้ยนยา เพราะเสพติดกาแฟทางก้นนั่นเอง   การสวนกาแฟเป็นเทคนิคดีๆ ของการแพทย์แผนธรรมชาติประการหนึ่งที่เอื้ออำนวยแก่กระบวนการล้างพิษจากร่างกาย โดยอาศัยคาเฟอีนที่ดูดซึมจากลำไส้ใหญ่ผ่านเข้าสู่ตับ ไปกระตุ้นให้ตับขับพิษได้ดีขึ้น
            แต่ต้องรู้ว่า การสวนกาแฟไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่จะบำบัดสารพัดโรค และยิ่งไม่ใช่กรรมวิธีเพื่อการลดน้ำหนัก หรือแม้กระทั่งถือเป็นสรณะในการรักษาอาการท้องผูก

ข้อบ่งชี้ของการสวนกาแฟ

- ใช้คู่กับการอดเพื่อสุขภาพ ช่วยล้างพิษจากร่างกายให้ดีขึ้น
- สำหรับคนที่ถูกพิษมาเฉียบพลัน เช่น ผงชูรส ควันรถยนต์ ควันบุหรี่
- รักษาภูมิแพ้ ไมเกรน ภูมิเพี้ยน เช่น SLE รูมาตอยด์ หอบหืด
- อาการที่แสดงถึงภาวะสะสมสารพิษในร่างกาย
- ผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อลดสารก่อไข้ที่ก้อนมะเร็งซึมซ่านออกมา ช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีและรังสีบำบัด

สวนกาแฟผิด ...คิดไปอีกนาน

อันตรายของการสวนกาแฟไม่ถูกวิธีคือ

      - ติดเชื้อจากการใช้อุปกรณ์ประเภทถุงพลาสติกที่อมคราบความชื้นอยู่ภายใน
      - ต้องพิษกาแฟเพราะใช้กาแฟมากเกินไป ใช้ถึงครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ พิษเฉียบพลันทำให้ใจสั่น พิษระยะยาวทำให้เสพติดกาแฟ และอาจทำให้ตับทำงานหนักจนเกินขอบเขต
      - เสียเวลาต้มกาแฟ
      - อันตรายจากน้ำร้อนลวกลำไส้เนื่องจากการใช้กาแฟชนิดต้ม และเนื่องจากการใช้ถุงสวน ถุงที่เป็นพลาสติกเป็นฉนวนกั้นความร้อน ทำให้เมื่อสัมผัสภายนอกแล้ว ไม่รู้อุณหภูมิที่แท้จริงของน้ำในถุง คนที่ถูกน้ำร้อนลวกลำไส้จะมีอาการต่อไปนี้คือ ปวดมวนท้อง, ปวดถ่วงอยากถ่าย, ถ่ายเป็นมูก บางคนถ่ายหลายครั้งติดกัน
      - การสวนกาแฟในคนที่ร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอ เช่น วัยรุ่นที่กินแต่อาหารขยะแล้วสวนกาแฟตามแฟชั่น จะเกิดอาการคั่งพิษในตับ เกิดอาการเปลี้ยเพลีย มึนหัว การสวนกาแฟจึงพึงสงวนไว้ใช้ในหมู่ผู้รักสุขภาพเท่านั้น วัยรุ่นกินแต่ Junk food จึงไม่ควรมาสวนกาแฟให้เสียสถาบัน
         เพื่อป้องกันปัญหาคั่งพิษในตับ ก่อนสวนจึงควรกินขมิ้นชัน 5 เม็ดลูกกลอน (หรือ 3 แคปซูล) ร่วมกับโสม 1 เม็ด

ใครบ้างไม่ควรสวนกาแฟ

- เด็กวัยเจริญเติบโต
- หญิงมีครรภ์
- ผู้แพ้กาแฟ จะเกิดอาการปวดมวนท้อง
- ผู้ที่ความดันเลือดสูงวิกฤต และยังควบคุมไม่ได้ เช่นสูงเกิน 160/100 มม.ปรอท
- ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดลำไส้มายังไม่ถึง 1 เดือน ควรรอให้รอยผ่าตัดลำไส้ได้สมานคืนดีๆเสียก่อน
- ผู้ที่ถูกฉายรังสีบริเวณท้องน้อย เยื่อบุลำไส้อาจได้รับผลกระทบทำให้มีความระคายเคือง    มากอยู่แล้ว

อุปกรณ์การสวน ...ข้อพึงสังวรณ์

- ชุดสวนแบบถุงพลาสติก อาจมีอันตรายจากความชื้นที่หมักหมม ทำให้เกิดเชื้อรา
- ชุดสวนแบบเป็นกระเป๋าน้ำร้อนดัดแปลง อาจมีสารโลหะหนักหลุดออกมาจากเนื้อยางเข้าสู่ลำไส้
- ชุดสวนที่ทำจากขวดน้ำพลาสติกใสๆ (ขวดPET) เคยมีข่าวส่งกันทางอินเตอร์เนต พบว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งใช้ขวด PET กรอกน้ำดื่ม เพื่อใช้ซ้ำๆ ในภายหลังเด็กคนนี้เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
การใช้ขวด PET จึงมีข้อพึงสังวรณ์
- ชุดสวนมาตรฐานแบบสเตนเลส ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ ใช้ได้ทนทานตลอดชีพ
- ชุดสวนมาตรฐานแบบพลาสติก ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ เบาสบาย พกสะดวก โปร่งใสสามารถกะปริมาณน้ำกาแฟได้

กาแฟใช้สวน...อย่างไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ

- กาแฟบดธรรมชาติซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ต้องต้มเสียเวลา และมัก Overdose เพราะปกติคนเราชงกาแฟเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา การใช้ครั้งละซองคือ 1 ช้อนโต๊ะเสี่ยงที่จะเกิดการต้องพิษกาแฟ
- กาแฟผงธรรมดา ซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ใช้แช่น้ำร้อน ยิ่งคุมโด๊สได้ลำบาก
- ปัจจุบันมี 'แฟสวน ชนิดใหม่ สำเร็จรูปชนิดซองละ 2.5 กรัม ใช้สะดวก ใช้น้ำอุ่นอาบน้ำธรรมดาละลายน้ำใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องต้ม

สวนกาแฟต้องต่อย Vitamin B ใส่ลงไปหรือไม่
            คนเราจะทำอะไรก็ต้องหาความรู้และใช้อย่างสมเหตุผล ใครที่ทำเช่นนั้นเคยถามเจ้าของตำรับหรือไม่ว่าต่อยลงไปเพื่ออะไร ถ้าจะบอกว่าเพื่อให้ดูดซึมไปให้ตับได้ใช้   ปัญหามีอยู่ว่าวิตามินบีที่ทางเภสัชกรรมเขาทำไว้สำหรับฉีด เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ายาหลอดนั้นจะมีอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้ใหญ่ได้ขนาดไหน และเมื่อมันถูกเจือจางอยู่ในน้ำทั้ง 1 ลิตร จะมีโอกาสสัมผัสลำไส้เพื่อดูดซึมได้เพียงใด เพราะบางคนกลั้นไว้ได้ครู่เดียวก็ต้องลุกขึ้นถ่ายทิ้งเสียแล้ว ก็เหมือนเอาวิตามินบีมากลั้วคอแล้วบ้วนทิ้งจะมีประโยชน์อะไร   ถ้าต้องการวิตามินบีก็ใช้ชนิดเม็ดกินเข้าไปทางปาก ทางเภสัชกรรมทำไว้พร้อมสำหรับการดูดซึมทางกระเพาะอยู่แล้ว แถมถูกสตางค์กว่ากันมากมาย

การต่อยวิตามินบีใส่น้ำกาแฟเพื่อสวน ก็เป็นเพียงการ ทำเท่ ประการหนึ่งเท่านั้น

กับดักสุขภาพประการที่ 10

กินอาหาร 5 หมู่ อาจป่วยง่าย ตายเร็ว

            คำว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" ดูเหมือนจะกลายเป็นป้ายโฆษณา ที่ใครต่อใครซึ่งสอนคนให้สุขภาพดีจะต้องแขวนไว้ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เนื้อหาของคำว่ากินอาหาร 5 หมู่เกือบจะไม่ต่างไปกับ "เชิญกินไปตามสบาย ปล่อยให้สุขภาพเป็นไปตามยถากรรม"

มีใครบ้างในสมัยนี้ไม่กินอาหาร 5 หมู่  ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ว่ากินอย่างไหนในสัดส่วนเท่าไหร่ต่างหากเล่า

            ความเป็นมาของการชูคำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่"  มีประวัติความเป็นมาที่เข้าใจได้ กล่าวคือสมัยที่ประเทศไทยยังด้อยพัฒนา คนบ้านนอกยังมีอาหารไม่พอกิน แถมมีความเชื่อเรื่องห้ามกินของแสลง เช่น หญิงหลังคลอดให้กินแต่ข้าวกับเกลือ  จึงบังเกิดผลให้คนไทยขาดอาหาร เด็กเล็กมีอาการพุงโรก้นปอด บ้างก็ตัวบวม ขาดทั้งแคลอรีทั้งโปรตีน บ้างขาดวิตามิน ป่วยเป็นโรคเหน็บชา ตาบอดกลางคืน ลักปิดลักเปิด ด้วยเหตุฉะนี้จึงมีความจำเป็นในสมัยนั้นที่จะต้องระดมให้คนไทยกินโปรตีน และอาหารอุดมวิตามินเพิ่มขึ้น ครั้นจะเน้นแต่สารอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงชนิดเดียวย่อมไม่ถูกต้อง จึงเกิดเป็นคำขวัญให้คนไทย  นั่นเป็นคำขวัญที่สอดคล้องกับยุคสมัยที่คนไทยส่วนข้างมากป่วยเป็นโรคขาดอาหาร
            ทีนี้พอสังคมเปลี่ยนไป การพัฒนาประเทศทำให้เราผลิตอาหารจนส่งออกไปเลี้ยงคนทั่วโลก เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ การค้าพาณิชย์เจริญขึ้น เกิดศูนย์การค้า เกิดอาหารสำเร็จรูป เกิด food center  แล้วก็เกิดค่านิยมแบบบริโภคนิยม กินกันไม่อั้น เวลาพบปะสังสรรค์ก็เจอกันที่ร้านอาหาร การเจรจาธุรกิจบางทีก็อาศัยโต๊ะอาหารเป็นที่เจรจา อาการป่วยเจ็บด้วยบริโภคนิยมจึงตามมา ได้แก่โรคอ้วน ไขมันเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ แม้กระทั่งมะเร็ง และโรคสำคัญๆ กลุ่มนี้กลายเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของประเทศที่เจริญแล้ว ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
            การยังคงมุ่งชูแต่คำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับปัญหาสุขภาพแห่งยุคสมัยอีกต่อไป เพราะนักธุรกิจกินสเต็กเนื้อสัน นายห้างกินโต๊ะจีน วัยรุ่นกินฟ๊าสต์ฟู้ด ชาวหอกินบะหมี่ซอง ต่างก็คิดว่าตนเองกำลังกินอาหาร 5 หมู่กันทั้งนั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวล้วนนำพาพวกเขาไปสู่ภาวะ "ป่วยง่าย ตายเร็ว"
            เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ประมาณ 15-20 ปี และนั่นเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันตื่นเต้นกันมากที่มีชาวตะวันออกบางคน เข้าไปในอเมริกาบอกให้กินอาหารแนวอื่น ที่หักหัวเลี้ยวความเชื่อของชาวตะวันตก แต่กลับทำให้สุขภาพดี เช่นแล้วบอกให้กินสาหร่ายกินปลา กินเต้าหู้ นั่นคือความโด่งดังของอาหารแม็คโครไบโอติกส์ โดยมิชิโอ คูชิ ชาวอินเดียอีกบางคน เช่นมหาริชชี มเหสโยคะได้ไปโน้มนำอเมริกันให้กินมังสวิรัติ ฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ก็เป็นที่ต้อนรับ จนกระทั่งเกิดผู้นำสุขภาพคนอื่นๆเช่น นอร์แมน วอล์กเกอร์ แอน วิคมอร์ โรเบิร์ต เกรย์ เลสลี เคนตัน ซึ่งเสนอกินเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารกระทั่งการอดเพื่อสุขภาพ เพื่อล้างพิษจากร่างกาย แพทย์อีกหลายคนในอเมริกา เช่น นพ.ดีน ออร์นิช นพ.ดีภักดิ์ ชูพระ นพ.แอนดรู ไวล์ เสนอหนทางสุขภาพอันหลากหลายซึ่งแตกความคิดไปจากการกินอาหาร 5 หมู่ แต่กลับพิสูจน์ว่ามิเพียงป้องกันโรค แต่รักษาโรคได้ด้วยซ้ำ
            ในที่สุด สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกันหรือกระทรวงสาธารณสุขของเขาก็ทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นมาเสนอหลักชั่งตวงวัดปริมาณอาหารแต่ละหมู่เพื่อสุขภาพ อย่างแคเธอรีน โวเตกีเสนอให้กินผักสดผลไม้ให้ได้ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน เพื่อจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอเพื่อป้องกันโรคเสื่อม ความคิดใหม่ๆ เหล่านี้ทำให้คำขวัญที่ว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพดี" เสื่อมความหมายลง
            ท่านผู้อ่านลองตรองดูง่ายๆ ก็ได้ว่า ตัวเราเองอาจกินอาหารครบ 5 หมู่ แต่กินไปกินมา ทำไมเกิดโรคไขมันเลือดสูงขึ้นได้  คุณพ่อของเรา กินอาหารก็ครบ 5 หมู่ แต่กินไปกินมาทำไมกลายเป็นโรคหัวใจได้ล่ะ  คุณแม่ของเรากินอาหารครบ 5 หมู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นเบาหวานไปซะแล้ว ส่วนคุณลุงข้างบ้าน ก็ท่องจำการจำแนกอาหาร 5 หมู่จนขึ้นใจ แต่กินไปกินมา ไหวกลายเป็นมะเร็งไปซะแล้ว  แสดงว่า "การกินอาหารครบ 5 หมู่" ไม่ได้ช่วยให้คนเราสุขภาพดีอย่างแท้จริง
            ดร.เจ ฟฟรี บรานด์ ผู้นำสุขภาพอีกคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเคยมาบรรยายที่เมืองไทยเมื่อ 7 ปีก่อน เขาบรรยายท่ามกลางแพทย์พยาบาลทั้งหลายว่า "ขอโทษทีเถอะครับ ถ้าผมจำต้องกล่าวว่า คำว่ากินอาหารครบ 5 หมู่นั้น ไม่เป็นที่พูดถึงกันอีกต่อไปแล้วในสหรัฐอเมริกา แต่ทุกวันนี้ชาวอเมริกันกำลังพูดถึง functional food ต่างหาก"
            Functional food
            หมายถึงสิ่งที่กินเข้าไปแล้ว เกิดผลมีปฏิสัมพันธ์กับร่างกายทำให้เกิดการบำบัดโรค  อาหาร functional food เป็นอาหารที่อุดมด้วยผัก ผลไม้ ซึ่งมีแอนติออกซิแดนต์ในความเข้มข้นสูง แถมพืชผักอีกหลายตัวยังมีสารกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า phyto-nutrient ซึ่งกินเข้าไปแล้ว เข้าไปออกฤทธิ์ 3 ประการกับร่างกาย
         1.เป็น immuno stimulator กระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย
        2.เป็น cancer blocker ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารก่อมะเร็ง
        3.เป็น anti mutagenic agent ป้องกันไม่ให้เซลล์ดีๆกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง


            ยุคสมัยนี้การกินอาหารเพื่อสุขภาพต้องกินให้สอดคล้องกับสภาพสุขภาพเฉพาะของแต่ละคนรวมเรียกว่า "อาหารธรรมชาติบำบัด" จำแนกได้ดังนี้คือ:
            1.สำหรับบุคคลทั่วไป การกินอยู่อย่างไทย ได้แก่กินข้าวกล้อง กินผัก กินปลา กินน้ำพริก ช่วยสร้างเสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี
            2.สำหรับคนอ้วน ไขมันเลือดสูง นอกจากกินอยู่อย่างไทยแล้ว ให้รู้จักการอดเพื่อสุขภาพเป็นระยะๆ เช่น อดล้างพิษ 10 วันทุก 6 เดือน สลับกับการอดล้างพิษ 1 วัน ทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์ ช่วยลดความอ้วน ลดไขมันเลือดได้

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

Forget About It

An elderly husband and wife visit their doctor when they begin forgetting little things. Their doctor tells them that many people find it useful to write themselves little notes.

When they get home, the wife says, "Dear, will you please go to the kitchen and get me a dish of ice cream? And maybe write that down so you won't forget?"

"Nonsense," says the husband, "I can remember a dish of ice cream."

"Well," says the wife, "I'd also like some strawberries and whipped cream on it."

"My memory's not all that bad," says the husband. "No problem -- a dish of ice cream with strawberries and whipped cream. I don't need to write it down."

He goes into the kitchen; his wife hears pots and pans banging around. The husband finally emerges from the kitchen and presents his wife with a plate of bacon and eggs.

She looks at the plate and asks, "Hey, where's the toast I asked for?"


วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

ลดน้ำหนักด้วยซุปหน่อไม้
          หน่อไม้เป็นพรรณพืชที่สวยงามและโตเร็ว  หน่อไม่มีมากมายหลายชนิด ใหญ่บ้างเล็กบ้าง รสชาติแตกต่างกันออกไป เช่น ไผ่ตงหวานของปราจีนบุรีขึ้นชื่อลือชาว่าอร่อยนัก หรือไผ่รวกที่มีรสขมต้องต้มทิ้งน้ำหลายๆ น้ำก่อนกิน หรือต้มใส่ใบย่านางด้วยจะทำให้รสชาติดีขึ้น 
          การใช้หน่อไม้ปรุงอาหารนั้นสามารถทำได้หลายแบบ ใช้ลวกจิ้มน้ำพริก ใช้ทำเป็นซุปหน่อไม้ใส่น้ำคั้นใบย่านางหอมๆ อร่อยดีนัก  หรือจะใช้ทำแกงเปรอะ แกงกะทิ แกงเหลือง แกงไตปลา ต้มจืด ผัดหน่อไม้ ก็อร่อยได้ทุกแบบ
          ผู้หญิงเราส่วนใหญ่น้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ เนื่องจากเรามักโปรดปรานขนมหวานและอาหารสารพัดชนิด และความอ้วนก็เป็นอริกับผู้หญิงอย่างเราๆ ที่ให้ความสำคัญกับอาหารการกิน  บางคนก็สารพัดจะหายาหรือวิธีที่จะลดน้ำหนัก บางคนไปเข้าคอร์สลดน้ำหนักเสียหลายคอร์สยังไม่สามารถลดน้ำหนักได้ ยิ่งกลุ้มใจเข้าไปใหญ่ ยิ่งกลุ้มก็ยิ่งกิน  อย่ากระนั้นเลย อากาศร้อนเช่นนี้ผู้หญิงเรามักไม่เจริญอาหารนักเป็นปกติอยู่แล้ว ถือโอกาสนี้ลดน้ำหนักด้วยอาหารจากหน่อไม้กันดีกว่า
          ข้อดีของหน่อไม้คือ ถูกแสนถูก  ซุปหน่อไม้ก็ทำง่ายนิดเดียว  เพียงซื้อหน่อไม้มาใช้ส้อมขีดให้เป็นฝอยๆ แล้วต้มกับน้ำคั้นใบย่านาง (อาจต้มน้ำปลาร้าแล้วกรองเอาแต่น้ำใส่ลงไปพอเค็ม) เติมมะนาวพอเปรี้ยว (บางคนอาจชอบใส่ปลาย่างโขลกละเอียดด้วย)  ใส่หอมแดงซอย ข้าวคั่วใหม่ๆ ตำละเอียดลงไปคลุกเคล้า  ใส่ผักชีฝรั่งและต้นหอมซอย พริกป่น  แค่นี้ก็เรียกน้ำย่อยได้แล้ว
          ทำไมหน่อไม้จึงลดน้ำหนักได้  ก็คงเป็นกลไกคล้ายกับผลิตภัณฑ์จากเม็ดแมงลัก แป้งจากบุก  เพราะทั้งสามอย่างนี้เมื่อเรากินเข้าไปแล้วจะพองตัวในกระเพาะหลอกให้กระเพาะอิ่มโดยไม่มีพลังงานที่จะถูกเอาเก็บไปสะสมเปลี่ยนเป็นไขมัน  ที่ต้องระวังคือ อย่างเผลอกินข้าวเหนียวตามไปเยอะเป็นใช้ได้
          ดังนั้น การลดน้ำหนักเราจึงต้องกินอาหารที่ให้พลังงานน้อยแต่อิ่ม  หน่อไม้จึงเป็นผักในอุดมคติ และซุปหน่อไม้ยังมีประโยชน์อยู่บ้างคือ ในหน่อไม้ยังมีแร่ธาตุอยู่บ้างโดยเฉพาะฟอสฟอรัส  เครื่องปรุงในการทำซุปหน่อไม้ เช่น ใบย่านาง หอมแดง พริกและผักต่างๆ ที่ใส่ล้วนเป็นพืชผักสมุนไพรและเครื่องเทศที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารเส้นใยอื่นๆ ที่เขานิยมใช้ลดน้ำหนัก  ซุปหน่อไม้จึงได้เปรียบกว่าในแง่คุณค่าอาหาร และการรับประทานหน่อไม้เป็นประจำจะช่วยให้อาการท้องผูกดีขึ้น
          หลายท่านอาจจะกลัวแพ้หน่อไม้ ท่านที่แพ้ก็เลี่ยงเสีย  ร่างกายใครร่างกายมัน จะไวต่อสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน 
          ความอ้วนมักเป็นของคู่กับโลกเสมอ ความงามก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย  ถ้าเป็นสมัยก่อนจากกาพย์ห่อโคลงนิราศธารอโศก กวีได้พรรณนาความงามของขาสาวเจ้าไว้ว่า "ชมเพลาเจ้าเรียวรวย คือต้นกล้วยสวยสดเปลา เข่าแข้งงามกว่าเพลา หรือพรหมกลึงเจ้าจึงงาม"
          เราลองนึกภาพขาสาวที่เหมือนต้นกล้วยคงสวยพิลึก หากกวีในสมัยนั้นมาเห็นขาสาวเท่าไม้เสียบผีก็คงช็อกกับความงามในยุค 2000 ของเราเหมือนกัน  ความงามจึงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น มันไม่มีจริง  เป็นการสร้างความคิดความเชื่อนี้ผ่านสื่อต่างๆ แต่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตคนชะมัด
          ผู้หญิงบางคนกลัวอ้วนจนร่างกายไม่ยอมรับอาหาร  อดอาหารตายไปเลยกลายเป็นโรคชนิดใหม่ที่เรียกว่า Anorexia nervosa คือเป็นการหมดความรู้สึกในการอยากอาหารเพราะสภาวะทางอารมณ์  ซึ่งถือเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง  มีสาวหลายรายในโลกนี้เกิดโรคดังกล่าวซึ่งดูไม่น่าเชื่อ (แต่ถ้ามาเจอซุปหน่อไม้เมืองไทยอาจเกิดภาวะอยากอาหารขึ้นมาก็ได้นะ)

          สาวบางคนก็พะวงกับรูปร่างจนวันๆ ไม่ต้องทำอะไร น้ำหนักขึ้นขีดก็เครียดแล้ว  ชีวิตคนเรามันมีอะไรมากกว่านั้น ถึงอ้วนก็แข็งแรงสดใส  ถึงผอมก็สุขภาพดีมิใช่เพื่อไปอวดใคร
          การมีความรู้เรื่องอาหารการกินเพื่อสุขภาพก็จะทำให้เรามีชีวิตที่ปกติสุข  ไม่อ้วนเกินจนเข่ารับน้ำหนักไม่ได้หรือมันจุกอกตาย  และไม่คิดแต่เรื่องสวยงามจนสมองเป็นง่อย  ถ้าน้ำหนักมากหรือน้อยไปก็หาทางจัดการโดยใช้ความรู้ทางอาหารและการออกกำลังกาย 


ความรู้จากคอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย (มติชนสุดสัปหาห์)
มะขามป้อม : แก้ไอ
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica Linn.


          มะขามป้อมจัดได้ว่าเป็นสมุนไพรที่เก่าแก่มาแต่ครั้งพุทธกาล  เป็นผลไม้ที่พระภิกษุสามารถเก็บไว้ขบฉันแม้ในยามวิกาลได้ถือเป็นโอสถ  คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล้วนมีประสบการณ์ในการใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นอย่างดี  เพราะเป็นพืชประจำถิ่นของภูมิภาคแถบนี้  เราจะพบมะขามป้อมได้ทั่วทุกภาคในเมืองไทยยกเว้นทางภาคใต้  มะขามป้อมจะขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าเต็งรังหรือที่เราเรียกว่าป่าแดง
          ท่านใดที่เคยมีประสบการณ์ในการเดินป่าเต็งรังในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม จะพบต้นไม้ใบโกร๋นๆ แต่มีดอกบานสะพรั่งนานาชนิดให้ชื่นชมท่ามกลางความแล้งร้อน  และโชคดีที่ช่วงนี้ในป่าจะมีผลมะขามป้อมให้เก็บกิน ชุ่มคอคอยดับกระหาย คลายเหนื่อยได้อย่างดี
          มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด คือมีวิตามินซี 276 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม  ทั้งวิตามินซีในมะขามป้อมยังถูกดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินซีเม็ด  แม้การนำไปตากแห้งหรือต้มที่มีส่วนทำให้วิตามินซีลดลง แต่ก็ยังมีวิตามินซีเหลือเฟือที่จะใช้รักษาโรคเช่น โรคลักปิดลักเปิด
          ในอินเดียมีการใช้มะขามป้อมรักษาสารพัดโรค โดยเชื่อว่าการกินมะขามป้อมเป็นประจำจะบำรุงสายตา  บำรุงผิว ทำให้ผิวขาวนวล บำรุงสมองช่วยให้นอนหลับ แก้น้ำเหลืองเสีย  รวมทั้งยังใช้มะขามป้อมเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวใช้ทาผมเป็นยาบำรุง เป็นต้น
          ปัจจุบันเราไม่ค่อยได้เห็นต้นมะขามป้อมกันมากนัก เพราะพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ถูกบุกรุกแผ้วถางเป็นพื้นที่ทางการเกษตร และรสชาติผลมะขามป้อมไม่ค่อยจะถูกใจคนรุ่นใหม่ที่เน้นรสหวานมันเป็นหลัก  มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีหลายรสตั้งแต่เปรี้ยว หวาน ฝาด ขม ซึ่งความหลากหลายรสนี้ในทางยาไทยเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้มาก  รสที่เด่นของมะขามป้อมคือ รสขม ฝาด เปรี้ยว ซึ่งจะช่วยบำรุงเสียงให้ไพเราะ แก้กระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ไข้  คนไทยแต่เดิมจึงรู้กันโดยทั่วไปว่ามะขามป้อมบำรุงเสียง แก้ไอ
          มะขามป้อม เป็นสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่น่าจะส่งเสริมให้นำมาทำเป็นน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ  นอกจากจะมีสรรพคุณบำรุงร่างกายและรักษาอาการต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว  น้ำมะขามป้อมยังมีรสเปรี้ยวนำ หวานเค็มตาม มีรสฝาดเล็กน้อย แต่รสก็กลมกล่อมดื่มแล้วชุ่มคอชื่นใจอย่าบอกใคร
          วิธีการทำก็ไม่ยากอะไร เริ่มจากใช้มะขามป้อมแก่จัดเม็ดเล็กบ้างใหญ่บ้างไม่ว่ากันสัก 1 ถ้วย ล้างให้สะอาด แกะเมล็ดออก ใส่เครื่องปั่นหรือตำครกแบบไทยๆ ก็ได้ เติมน้ำ 2 ถ้วย  เติมน้ำเชื่อมพอหวาน ประมาณ 1/3 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา ชิมรสดูตามชอบ  จะได้น้ำมะขามป้อมสีนวลขุ่นๆ นำมาใส่ภาชนะเก็บไว้ในตู้เย็น
          สำหรับการกินมะขามป้อมแก้ไอของคนไทยมีหลากหลาย ตั้งแต่กินสดๆ โดยค่อยๆ เคี้ยวกินกับเกลือ  นำไปหมกหรือย่างไฟก่อนแล้วค่อยเคี้ยวอมกลืนทีละน้อยหรือต้มกินน้ำ  บางรายก็นำไปตำกับเกลือนิดหน่อยแล้วเติมน้ำผึ้งลงไป หรือจะฝนผลแห้งกับน้ำแล้วแทรกเกลือ  รวมทั้งสามารถทำเป็นมะขามป้อมกวนไว้กิน โดยนำมะขามป้อมมาต้มกับเกลือจนเปื่อย เอาเม็ดในออก บดให้ละเอียดแล้วกวนกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอนไว้อมแก้ไอ
          ส่วนในอินเดียมีการใช้มะขามป้อมแก้ไอโดยใช้น้ำมะขามป้อมคั้น 1 ส่วนผสมน้ำผึ้ง 1 ส่วน ซึ่งใช้รักษาไอกรนในเด็กได้ด้วย โดยให้เด็กกินวันละ 2-3 ครั้งๆ ละ 1 ช้อนชา
          ปัจจุบันการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในผลมะขามป้อมมีสารที่มีฤทธิ์ขับเสมหะ บรรเทาอาการไอได้จริง  จึงเป็นที่น่าสนใจว่าจะทำอย่างไรที่จะนำสมุนไพรมะขามป้อมที่มีอยู่ในบ้านเรามาใช้เป็นยาทดแทนยาจากต่างประเทศ  เพราะเราก็รู้ดีว่ายาแก้ไอจากต่างประเทศที่ใช้กันอยู่ไม่ต่างจากการจิบน้ำอุ่นสักเท่าใดนัก  ทุกวันนี้ประเทศเราเสียดุลให้กับต่างประเทศในเรื่องยาแก้ไอประมาณปีละเกือบพันล้านบาท
          เราคงต้องกลับมาทบทวนอย่างจริงจังว่า ทำไมเราไม่สามารถใช้สมุนไพรจากบ้านเราเป็นยารักษาโรคให้กับคนบ้านเราได้ แม้แต่โรคง่ายๆ อย่างอาการไอ ที่ไม่ใช่โรครุนแรงอะไรเลย  หรือแม้แต่จะทำให้คนไทยหันกลับมาดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อส่งเสริมสุขภาพ  ก็อาจต้องรอให้ฝรั่งมาทำน้ำมะขามป้อมใส่กล่องส่งมาขายเราเสียก่อน  จึงจะนิยมดื่มกันให้เท่แบบไทยๆ อย่างนั้นหรือ

ความรู้จากคอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย 

(มติชนสุดสัปหาห์)

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

สมุนไพร ดนตรี และความงามแห่งชีวิต
      
           สมุนไพร กับ ดนตรีมีความเหมือนกันตรงที่ ต่างเกิดจากธรรมชาติ และมนุษย์เอามาปรุงแต่ง คัดสรรให้เกิดประโยชน์  ดนตรีนั้นเมื่อปรุงแต่ง ให้จังหวะ ใส่เนื้อหา ใส่ทำนองก็สามารถนำมาบรรเลงให้ความรื่นรมย์ต่อชีวิต  สมุนไพร เมื่อเลือกสรร ปรุงแต่ง เรียนรู้วิธีที่ใช้ ก็นำมาใช้ประโยชน์ต่อชีวิตมากมายเช่นกัน
            สมุนไพรกับดนตรียังมีความเหมือนในความต่างที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ด้วยตัวสมุนไพรเองเป็นได้ทั้งยาและอาหาร เปรียบได้กับการรักษาและป้องกันได้ในเวลาเดียวกัน  ขณะที่ดนตรีก็เป็นได้ทั้งเรื่องบันเทิงเริงรมย์และเป็นอาหารสมองหรือยารักษาโรคได้ด้วย
             วิทยาการปัจจุบันค้นคว้าเรื่องสมุนไพรหลากหลายชนิดที่เป็นอาหารแล้วกลับได้ผลว่าเป็นยาดี เช่น ที่ได้รับความนิยมมากตลอดมาคือ ใบขี้เหล็ก อาหารไทยแท้ที่กลายเป็นยาที่พึ่งสำหรับคนนอนไม่หลับและผู้มีความเครียดติดตัว
            ดนตรีก็เช่นกัน การศึกษาในศตวรรษ 20 บอกมนุษย์บนโลกเราว่า เสียงดนตรีไม่ได้มีไว้ฟังหย่อนใจอย่างเดียว  ดนตรีในความถี่ระดับต่างๆ กันส่งผลต่อจิตใจและร่างกายของมนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณต่างๆ ด้วย  มีการศึกษาหลายชิ้นบันทึกไว้ว่า เพลงที่บรรเลงด้วยความไพเราะเพราะพริ้งกระตุ้นให้สัตว์เลี้ยง เช่น วัว มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือมีปริมาณน้ำนมสูงขึ้น ไก่ออกไข่มากขึ้น กระทั่งพืชสวนพืชไร่ ไม้ดอกที่ได้ฟังดนตรีเพราะๆ ก็เจริญเติบโตดี ให้ดอกบานสะพรั่งอีกด้วย
          วิทยาการใหม่ๆ ยังค้นพบต่อไปว่า เสียงดนตรีเพราะๆ (เพราะๆ เท่านั้น) ช่วยกระตุ้นให้สมองมนุษย์ทำงานดีขึ้น  แล้วที่สำคัญช่วยส่งเสริมสุขภาพกายใจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วย  จังหวะดนตรีไม่ว่าจะบรรเลงหรือมีเนื้อร้อง  ที่มีจังหวะใกล้เคียงกับการเต้นของหัวใจมนุษย์ คือประมาณ 60 ถึง 80 ครั้งต่อนาที เป็นจังหวะที่ไม่เร้าใจขาโจ๋แต่ก็ไม่เฉื่อยชาเกินไป  ถ้าได้ฟังด้วยระดับความดังไม่เกิน 60 เดซิเบลอย่างสม่ำเสมอ  จะทำให้สมองของเราหลั่งสารแห่งความสุขหรือ เอนดอร์ฟิน (Endorphin)  สารธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์นี้จะช่วยทำให้มนุษย์คลายความเครียดทั้งกายและใจได้ ช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ มีความสุข
            สารแห่งความสุขยังส่งผลดีต่อระบบอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์  ช่วยให้ทำงานดีขึ้น หรือในบางกรณีช่วยแก้ปัญหาโรคบางโรคได้ หรือแก้ปัญหาในเรื่องความดันโลหิต ระบบหายใจ ระบบหัวใจ ระบบขับถ่ายในกรณีคนปกติ  การฟังดนตรีแนวนี้ก็เท่ากับส่งเสริมให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานดีขึ้น  ช่วยให้ระบบภูมิป้องกันโรคแข็งแรงขึ้นด้วย
            นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบว่า ผู้ป่วยโรคปวดข้อมือข้อนิ้วที่แสนจะทรมาน  เมื่อเขาได้เริ่มเล่นเครื่องดนตรีและเพลงที่ถูกใจ  อาการเจ็บปวดหายเป็นปลิดทิ้งไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง โดยไม่ต้องให้ยาแก้ปวดใดๆ เลย  เพราะสารแห่งความสุขหลั่งออกมานั่นเอง
            ในแง่ของสมุนไพร ที่ให้ความอภิรมย์จนเกิดสารหลั่งความสุข  ที่มองในแง่ตัวยาแล้ว เห็นจะมีแต่ยาจำพวกกล่อมประสาทไปเลย เช่น ระย่อม ที่ต้องใช้จำนวนน้อยๆ และใช้อย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นยาจะแรงเกินไป
           แต่ถ้าจะใช้สมุนไพรแบบใช้ง่ายให้ผลดีและปลอดภัยสูง  ก็คงจะแนะนำให้กินใบขี้เหล็กพร้อมอาหารมื้อเย็น  หรือจะใช้แบบตำราโบราณที่นำมาดองกับสุรา  หรือเป็นแนวใหม่ก็มีแบบตากแห้งบดผงใส่แคปซูล  ใช้สะดวกให้ผลดี
          ถ้าจะเป็นแบบบำรุงหัวจิตหัวใจให้สดชื่น เท่ากับลดความเครียดนั้น  ก็สามารถใช้ศิลปะการชงชาจากสมุนไพรหลายชนิด เช่น เกสรดอกบัว หรือเกสรทั้งห้า ทั้งเจ็ด หรือใบเตยหอม  ตากแห้งแล้วคั่วไฟให้หอมนำมาชงดื่ม
          แต่ถ้าจะให้เกิดสารแห่งความสุขขนานแท้ในแง่สมุนไพร เห็นทีจะเป็นในแง่ของการปลูกต้นไม้ต้นยาสมุนไพรต่างๆ ที่ให้ความร่มรื่น ให้ดอกที่สวยงามพร้อมกลิ่นที่หอมชื่นใจ ซึ่งจะก่อให้เกิดความสงบสุขคลายเครียดได้ดีแล้ว กิจกรรมงานปลูกต้นไม้กลางแจ้งเท่ากับการออกกำลังกายให้แข็งแรง  ซึ่งสอดคล้องกับวิชาดนตรีเพื่อสุขภาพ และชีวิตที่งดงามที่นอกจากประโยชน์ด้านจิตใจและระบบอวัยวะในร่างกายแล้ว  การฝึกหายใจเพื่อร้องเพลงยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เรียนรู้วิธีหายใจให้มีสุขภาพดีด้วย
            ดนตรีจึงมิใช่แค่ดนตรี แต่มีความหมายต่อชีวิต สุขภาพ และความสงบเย็น  และสมุนไพรก็มิใช่เพียงยา  หากซ่อนมิติของความสวยงาม รื่นรมย์ของพืชพรรณให้สุขสงบ

ความรู้จากคอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย(มติชนสุดสัปดาห์)

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความดันเลือดสูง รักษาด้วยธรรมชาติบำบัด
อาหารบำบัดความดันเลือดสูง
 

        ความดันเลือดสูงเป็นภาวะความเสื่อมของหลอดเลือดประการหนึ่ง  คนที่มีความดันเลือดสูงจะมีอายุสั้นกว่าปกติ  สาเหตุนั้นมีหลายประการ ทั้งความเครียด พันธุกรรม กินอาหารไม่ถูกต้อง วิถีชีวิตเป็นต้น  นอกจากนี้อาจมีสาเหตุจากโรคอื่นมาก่อนเช่น โรคไต เบาหวาน  เดิมทีเคยคิดกันว่าความดันเลือดจะเพิ่มขึ้นตามอายุ  แต่เดี๋ยวนี้พบว่าไม่จริง  คนในสังคมที่กินอยู่อย่างดั้งเดิม ไม่มีมลภาวะและอยู่กันอย่างสงบนั้นความดันเลือดในคนแก่ยังคงเท่ากับคนหนุ่มๆ
        อาหารที่ทำให้ความดันเลือดสูง ได้แก่ เกลือ ไม่ว่าจะในรูปของโซเดียมคลอไรด์ในสภาพเกลือแกงที่ใช้ทำกับข้าว น้ำปลา ไปจนถึงเกลือที่แฝงอยู่ในอาหาร เช่น เฟร้นช์ฟรายด์ โพเตโต้ชิพ ป๊อปคอร์น  และที่สำคัญคือ ผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต เป็นปัจจัยที่เพิ่มปริมาณโซเดียมแก่ร่างกาย
         เนื้อสัตว์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความดันเลือดสูง  สถิติเปรียบเทียบคนกินมังสวิรัติ 100 คน เทียบกับคนกินเนื้อสัตว์ในงานวิจัยหนึ่งพบว่า กลุ่มที่กินมังสวิรัติค่าความดันเฉลี่ยเท่ากับ 126/77ม.ม. ปรอท  ขณะที่คนกินเนื้อสัตว์มีระดับเฉลี่ย 147/88 ม.ม.ปรอท  งานวิจัยนี้ยังพบอีกว่าคนกินมังสวิรัติเพียง 2% เท่านั้นที่มีความดันเลือดสูง  ขณะที่ชาวมังสนิยมมีถึง 26% ที่มีความดันเลือดสูง  สาเหตุน่าจะมาจาก 2 สาเหตุ
          หนึ่งคือ เนื้อสัตว์มีไขมันแทรกอยู่เยอะ หลอดเลือดจึงถูกด้วยคราบไขได้มากกว่าคนที่กินผัก
          สองคือ คนมังสวิรัติกินผักเยอะ จึงได้รับโพแทสเซียมมากกว่า  โพแทสเซียมในร่างกายสูงมีผลตรงกันข้ามกับโซเดียมในเรื่องเกี่ยวกับความดันเลือด
          นมเนย คือแหล่งที่มาของกรดไขมันอิ่มตัวที่เพิ่มไขมันในเลือด  ลามปามไปถึงภาวะจับคราบไขมันตามผนังหลอดเลือด ทำให้ความดันเลือดสูง  ประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศนำหน้าในการดื่มนม  นอกจากมีปัญหาอ้วน ไขมันเลือดสูง ความดันเลือดสูงแล้ว  ยังพบอีกว่าอัตราการตายของพวกเขาร้อยละ 50 ตายด้วยโรคหัวใจหลอดเลือด
          เหล้า บุหรี่ กาแฟ ลำพังสูบบุหรี่เพียง 2-3 วินาทีสำหรับบางคนอาจพบว่ามีความดันสูงขึ้น 25 ม.ม.ปรอทเลยก็มี  เนื่องเพราะนิโคตินเข้าไปกระตุ้นแอดรีนาลีน
          อนุมูลอิสระ ได้มีการพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงบทบาทที่ก่อความเสื่อมของหลอดเลือด  ทำให้ไขมันถูกออกซิไดซ์แล้วตับนำไขมันไปใช้ไม่ได้  ไขมันก็พอกจับตามผนังหลอดเลือดทำให้ความดันเลือดสูงได้  อนุมูลอิสระมากับอาหารปิ้งย่าง ทอดจนเกรียมจัด มากับสารแต่งสีแต่งกลิ่นในอาหารขยะ
          บำบัดความดันเลือดสูงด้วยอาหาร จึงประกอบด้วย
          1. งดกินอาหารปิ้ง ย่าง ทอด งดดื่มนมโดยเด็ดขาดแม้แต่นมพร่องไขมัน ก็เพียงแต่ลดไขมันลงไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น  แถมไขมันที่มีอยู่ก็เป็นไขมันอิ่มตัว  อาหารทอดเป็นที่มาของอนุมูลอิสระที่ควรหนีให้ห่าง  น้ำมันที่ใช้ทำกับข้าวควรจำกัด ไม่เกิน 3 ช้อนชา/วัน  เลือกกับข้าวประเภทนึ่ง อบเพราะใช้น้ำมันน้อย  เลือกกินอาหารไทยประเภทแกงส้ม ต้มยำ ห่อหมก ส้มตำเป็นต้น
          2. ลดละการกินเนื้อสัตว์  หันมากินปลาและอาหารทะเลดีกว่ากินไก่  กินไก่ก็ยังดีกว่ากินหมู  ส่วนเนื้อวัวแย่สุดๆ เพราะแม้แต่เนื้อสันก็ยังมีไขมันแทรกอยู่เยอะ  ส่วนปลาและอาหารทะเลยังมีน้ำมันปลาที่มีประโยชน์อีกด้วย
          3. กินผักสด ผลไม้ให้มาก  วันละ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน แบ่งเป็นมื้อต่างๆ ได้ดังนี้คือ ดื่มน้ำผลไม้คั้น 1 แก้วตอนเช้า (ให้ดีควรคั้นโดยใช้เครื่องคั้นแยกกากโดยไม่ต้องเติมความหวานเช่น แครอท แอ๊ปเปิ้ล เซเลอรี่ บีทรูท สับปะรด ส่วนส้มใช้ที่คั้นแบบเดิมๆ ที่ใช้กันอยู่),  กินผลไม้หลังอาหาร 3 มื้อ, กินผักสด 1 จานมื้อเย็น (เน้นหรือให้มีผักพื้นบ้านด้วย)
          4. กินข้าวกล้องทุกมื้อ  ถ้าออกจากบ้านใช้สูตร 3 คือ วีตเจิร์ม งาดำ เมล็ดทานตะวัน อย่างละ 1 ส่วนโรยบนข้าวสวย
           อดอาหารบำบัดความดันเลือดสูง
           การกินผักสด ผลไม้ กินข้าวกล้องช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ  ขณะเดียวกัน ให้รู้จักการอดอาหารเพื่อล้างพิษ  อันจะเปิดโอกาสให้เซลล์ร่างกายแม้กระทั่งหลอดเลือดสมานคืนตัวเองได้ดีขึ้น
           การอดเพื่อบำบัดความดันเลือดสูง  ขอแนะนำการอดด้วยน้ำผักหรือที่รู้จักกันในนามของน้ำซุปโพแทสเซียม  ทำได้โดยหั่นแครอท แตงกวา ผักกาด ผักใบเขียวอื่นเท่าที่จะหาได้  มันฝรั่งปอกเอาส่วนเปลือกหนาๆ ประมาณ 1/2 ซม.  ทั้งหมดใส่หม้อเติมน้ำปริ่มๆ ต้มด้วยไฟอ่อนจนผักเปื่อย  น้ำซุปนี้จะมีโพแทสเซียมสูง
           ระหว่างวันอดให้งดเนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้งข้าว  ให้ดื่มน้ำโพแทสเซียมนี้ครั้งละ 1-2 แก้ว วันละหลายครั้งตามแต่ต้องการ รวมแล้วประมาณ 1 ครึ่ง - 2 ลิตรต่อวัน  ดื่มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้านอน ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 1 วัน  ในระหว่างนั้นก็ยังคงกินยาลดความดันที่หมอให้มา  คุณจะเริ่มพบว่าความดันเลือดค่อยๆ ลดลง และยาลดความดันจะเริ่มลดลงได้
           วิตามิน สมุนไพร และผักพื้นบ้าน
           วิตามินซีธรรมชาติ 1-2 กรัม/วัน, วิตามินอี 20-400 iu/วัน  วิตามินอีต้องเริ่มจากน้อยไปหามากเพราะถ้าเริ่มมากๆ ทันทีอาจทำให้ความดันขึ้นสูงได้, วิตามินบีรวม 50 ม.ก. 1 เม็ด/วัน, แมกนีเซียม 500 ม.ก./วัน, โพแทสเซียม 150 ม.ก./วัน, แมงกานีส 50 ม.ก./วัน, เซเลเนียม 100 ม.ค.ก./วัน, กระเทียม 2 แคปซูล 2 ครั้ง/วัน, กรดไขมันจำเป็น(EFA) ซึ่งเป็นส่วนผสมของน้ำมันปลา พริมโรสและเลซิทิน 2 แคปซูล 2 ครั้ง/วัน
            ผักพื้นบ้านไทย  มีการวิจัยมากมายแล้วในบทบาทที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) สารต้านอนุมูลอิสระตัวเก่ง (Super antioxidant) และมีสารผักที่สื่อสารกับร่างกายในทิศทางต่างๆ  ผักพื้นบ้านจำนวนหนึ่งมีบทบาทไม่น้อยในการช่วยบำบัดความดันเลือดสูง  ลองใช้สูตรต่อไปนี้คือ
            - กินมะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภกหรือตรีผลาในฐานะของยาอายุวัฒนะ  สารรสเปรี้ยวอมฝาดในผลเหล่านี้คือสารกลุ่ม Proanthrocyanidin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวเก่ง  จึงปกป้องหลอดเลือด หัวใจ และป้องกันไขมันเลือดสูงได้จากการผ่อนทำลายของอนุมูลอิสระ
            - กินผักใบเขียวเข้มอมแดง เช่น ขี้เหล็ก ใบเหมียง ผักหวาน ผักเชียงดา ใบยอ ผักแพว ผักไผ่ ผักชีลาว ซึ่งมีสารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์และเควอร์เซติน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกกลุ่มหนึ่งที่ช่วยการทำงานของวิตามินซีให้ดียิ่งขึ้น
            - กินผักพื้นบ้านเส้นใยสูง ในรูปของน้ำพริกผักจิ้ม เช่น มะเขือพวง มะระขี้นก สะเดา ลูกฉิ่ง โดยกินกับน้ำพริก วันละประมาณ 200 กรัม  ผักพื้นบ้านช่วยขับไขมันส่วนเกินที่บังเอิญจะมีในอาหารมื้อนั้น  ทั้งช่วยลดไขมันในเลือดได้  เป็นผลดีในการรักษาความดันเลือดสูงในระยะยาว
            - กินกระเทียมวันละ 10-15 กลีบ  โดยกินสดกับยำ แกล้มกับน้ำพริก  กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดและลดความดันเลือดสูงในทางอ้อม  กระเทียมมีสารสำคัญคือ Allicin
            - กินผักพื้นบ้านขับปัสสาวะ เช่น กระชาย ยอดกระเจี๊ยบ ตะไคร้ พลูคาว หรือจะต้มชาตะไคร้ดื่มบ้างก็ได้
            - คั้นน้ำใบบัวบกสดๆ ครั้งละ 1 กำมือ ผสมคึ่นฉ่ายด้วยก็ได้  กินทุกวันช่วยลดความดันเลือด

ความรู้จากคอลัมน์ธรรมชาติบำบัด โดย น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล, มติชนสุดสัปดาห์
 
Plantilla Minima modificada por Urworstenemy