Come and enjoy lovely coffee shop and restaurant with great breeze of Chao Phraya River plus lush green garden,near Rama V bridge and Nonthaburi Pier ร้านกาแฟ เบเกอรี่ อาหารกลางวัน ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานพระราม5 และท่าน้ำนนท์ บรรยากาศสไตล์บ้านสวน ชมวิวรับลมแม่น้ำ

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

 "ธรรมของพระพุทธเจ้า
เป็นอกาลิโก อยู่เหนือกาลเวลา"

บุญ ที่ถูกต้อง คืออย่าหลงบุญ ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของ “บุญ” …คิดว่าการทำบุญก็คือเฉพาะ การตักบาตร, การถวายทรัพย์, ปัจจัย, การถวายสังฆทาน ฯลฯ เพียงเท่านี้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดีและควรทำอยู่เสมอก็จริงในฐานะชาวพุทธ แต่การสร้างบุญนั้นยังมีมากกว่านี้ เพราะเมื่อสร้างบุญเบื้องต้นพื้นฐานแล้ว ก็ต้องรู้จักต่อยอดสร้างบุญที่ละเอียดยิ่งขึ้น โดยไม่หลงอยู่กับบุญเพียงบางประเภทโดยไม่รู้จักต่อยอดจากฐานที่ควรทำประจำขึ้นไปเลย ยิ่งบางพุทธพาณิชย์ เน้นสอนให้บริจาคทรัพย์ หรือร่วมสร้างความยิ่งใหญ่อลังการเข้าวัดจนเกินตัว มียอดบริจาคมากเท่าไหร่ถือว่ายิ่งได้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ รวยล้นฟ้าไม่รู้เรื่อง…

แท้จริงแล้ว “บุญ” หรือ “ปุญญ” แปลว่า “ชำระ” 
หมายถึง การทำให้หมดจดจากมลทิน เครื่องเศร้าหมอง 
อันได้แก่ โลภะ โทสะ และ โมหะ
ตามพระไตรปิฎก เราสามารถสร้าง “บุญ” ได้ ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา

๑. ทาน คือ การให้ เช่นที่กล่าวมาแล้ว คือ การตักบาตร บริจาคทรัพย์ ถวายสังฆทาน สร้างวิหาร หล่อพระ เป็นต้น ถือเป็น จาคะ หรือ การให้นับเป็น บุญอย่างหนึ่ง นับเป็นบุญที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะส่งเสริมบารมีบุญด้านอื่นๆไปด้วยกัน แต่มีการให้บางประการที่ไม่นับเป็นบุญ เช่น สุรา มหรสพ ให้สิ่งเพื่อกามคุณ เป็นต้น
๒. ศีล คือ ความประพฤติที่ไม่ละเมิด หรือรักษาความสำรวมทางกาย วาจา การรักษาศีลสำหรับฆราวาส ได้แก่ ศีล ๕ และอุโบสถศีล (มี ๘ ข้อ)
๓. ภาวนา คือ การอบรมจิตทางสมถะและทางวิปัสสนา การนั่งสมาธิ เรียกว่า สมถะภาวนา ส่วนการนั่งวิปัสสนา (สติรู้ถึงรูป–นาม) เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา

“บุญ” ยังมีอีก ๗ อย่าง ตามคัมภีร์อรรถกถา หรือข้อปลีกย่อยที่อธิบายความจากพระไตรปิฎก นับถัดไปเป็นลำดับที่ ๔ ดังนี้

๔. อปจายนะ ความเป็นผู้นอบน้อม ต่อผู้ที่ควรนอบน้อม
๕. เวยยาวัจจะ ความขวนขวายในกิจ หรืองานที่ควรกระทำ
๖. ปัตติทาน การให้บุญที่ตนถึงแล้วแก่คนอื่น
เช่น การอุทิศส่วนกุศล การกรวดน้ำ
๗. ปัตตานุโมทนา คือการยินดีในบุญที่ผู้อื่นถึงพร้อมแล้ว เช่น เห็นผู้อื่นทำบุญตักบาตร เมื่อเราพลอยปลื้มปิติยินดี กล่าวอนุโมทนา
เพียงเท่านี้ ก็ได้บุญแล้ว
๘. ธัมมัสสวนะ หรือการฟังธรรม ไม่ว่าจะฟังธรรมโดยตรง
หรือจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ
๙. ธัมมเทศนา หรือการแสดงธรรมเมื่อได้ศึกษาธรรมะ
แล้วถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น นับเป็นบุญประการหนึ่งด้วย
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คือการกระทำความเห็นให้ตรง
หรือ สัมมาทิฏฐิ นั่นเอง (เช่น เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี , เชื่อหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง-ทุกข์ขัง-อนัตตา)

บุญทั้ง ๑๐ ประการนี้ บางที่เรียกกันว่า “บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” จะเห็นว่าบุญทำได้ถึง ๑๐ อย่าง มีเพียงข้อแรกเท่านั้นที่ต้องใช้ทรัพย์ อีก ๙ ข้อล้วนไม่ต้องใช้ทรัพย์ . . .
 - See more at: http://buddhapoom.com/index.php/topic,410.0.html#sthash.jw1beNEx.dpuf

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

RE-OPEN !  
 
A new restaurant opens here...
Please come and try ancient Thai Tom Yum noodle soup, Yen Taa Four (Thai-Chinese style pink noodle soup)
and a lot more varieties !

เปิดแล้ว !

โดย ร้าน พล ก๋วยเตี๋ยวโบราณ
เย็นตาโฟโคตรเครื่อง และอาหารทะเล
ถ.พิบูลสงคราม ซ.15 นนทบุรี
ทุกวัน 11.30 - 22.30 น. (ครัวปิด 21.00น.)
โทร.02-9676099


ที่ร้าน 132ริเวอร์ไซด์เดิม

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นักโภชนาการแนะกินเจให้ได้โภชนาการต้องครบ 5 หมู่ 
และให้ระวังขาดโปรตีนและวิตามินบี 12 เตือนสิ่งต้องเลี่ยงช่วงเจ แป้ง-เค็ม-มัน 
และ 2 ต้อง คือล้างผักให้สะอาดและออกกำลังกาย

     การรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ว่าในช่วงระยะเวลา 10 วันนี้ ต้องเลือกอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและมีสารอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ และวิตามินบี 12 ที่ตามปกติร่างกายได้รับจากตับ นม และไข่แดง จึงต้องหาอาหารทดแทน ซึ่งโปรตีนชั้นดี คือ ถั่วเมล็ดแห้ง ให้โปรตีนเทียบเท่าเนื้อสัตว์ เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ หรือโปรตีนเกษตร โดยหากทานเต้าหู้แผ่น 1 แผ่น ให้ปริมาณโปรตีนเทียบเท่าเนื้อหมูราว 3-4 ชิ้น สำหรับวิตามิน บี 12 หากร่างกายขาดจะทำให้โลหิตจาง ปลายประสาททำงานลดลง เกิดอาการชาที่แขนและขา ความจำไม่ดี และอารมณ์แปรปรวน แต่จะเกิดกับผู้ที่ทานเจหรือมังสวิรัติต่อเนื่องนานหลายปี เพื่อป้องกันการขาดวิตามินบี 12 ไม่ควรเคร่งครัดทานเจมากเกินไป เพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยอาจดื่มนมวัวทดแทนหรือกินข้าวซ้อมมือสม่ำเสมอ ทั้งนี้ การถือศีลกินเจ ถือเป็นเรื่องดี เพราะนอกจากทำให้จิตใจบริสุทธิ์แล้ว ยังเป็นการสร้างพฤติกรรมที่ดีในการรับประทานผักด้วย

สิ่งที่ต้องระวังในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ มี 3 เลี่ยงและ 2 ต้อง

      1.หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งเพราะจะเพิ่มน้ำหนักตัว เพราะอาหารเจมีผักเป็นส่วนใหญ่ ผักย่อยง่ายจึงหิวบ่อย คนที่กินเจจึงมักทานแป้งมากขึ้นด้วย แต่ถ้าเผาผลาญไม่หมดก็สะสมกลายเป็นน้ำตาล
      2. หลีกเลี่ยงอาหารมันจัดอาหารเจมักใช้การผัดหรือทอด จึงต้องระวังน้ำมันส่วนเกิน ควรหันมาทานอาหารประเภท ต้ม นึ่ง อบ ยำ แทน ซึ่งรสชาดิดีไม่แพ้กัน
      3.หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะอาหารหลายชนิดในช่วงเจ จะทำในปริมาณมากๆ จึงมีการใส่เกลือ ซีอิ้ว เพื่อช่วยถนอมอาหารให้อาหารอยู่ได้หลายวัน จึงอาจได้รับเกลือเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูงและโรคไต 


ส่วน “2 ต้อง" คือ

      1.ต้องล้างผักให้สะอาดถูกวิธี โดยล้างให้น้ำไหลผ่านอย่างน้อย 2 ครั้ง ๆ ละ 5-10 นาที เพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อนโดยเฉพาะสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างซึ่งหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง

      2.ควรออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานไม่ให้สะสมกลายเป็นไขมัน โดยเดินเร็ว 30 นาที หรือปั่นจักรยาน 40 นาที จะเผาผลาญพลังงานได้ 150 กิโลแคลอรี่


"อาหารเจ"  
แบบครบถ้วนกระบวนความ

     อาหารเจ เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบใดๆ จากสัตว์ทุกประเภท และที่สำคัญอาหารเจ งดเว้นการปรุงการเสพพืชผักฉุน 5 ชนิด โดยผักดังกล่าวเหล่านี้ เป็นผักที่มีรสหนักกลิ่นแรง  นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ที่ทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นมูลเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิฝึกจิตไม่ควรรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เพราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์กระตุ้นจิตใจอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิดง่าย และยังมีผลทำให้พลังธาตุในกายรวมตัวกันได้ยาก
     รายละเอียดของผักแต่ละประเภทมีดังนี้
     1. กระเทียม ทั้งหัวกระเทียม ต้นกระเทียม อาจส่งผลกระทบต่อธาตุไฟของร่างกาย แม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่กระเทียมมีความระคายเคืองสูง อาจไปทำลายการทำงานของหัวใจได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือโรคตับ ไม่ควรรับประทานกระเทียมมาก
     2. หัวหอม รวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ซึ่งตามหลักการแพทย์โบราณของจีนเชื่อว่า หัวหอม จะกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของไต แม้ว่าหอมแดง จะมีฤทธิ์ช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้ปวดประจำเดือน แต่ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการหลงลืมได้ง่าย นอกจากนี้ อาจส่งผลให้มีอาการตาพร่ามัว รวมทั้งมีกลิ่นตัวแรงกว่าปกติด้วย 

     3. หลักเกียว หรือที่รู้จักว่า กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมที่พบเห็นทั่วไป แต่จะมีขนาดเล็ก และยาวกว่า ในทางการแพทย์ของจีนเชื่อว่า หลักเกียว ส่งผลกระทบกระเทือนต่อธาตุดินในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของม้าม
     4. กุยช่าย เชื่อกันว่า กุยช่าย จะไปกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในร่างกาย และทำลายการทำงานของตับ
     5. ใบยาสูบ ไม่ว่าจะเป็นยาเส้น บุหรี่ หรือของเสพติดมึนเมา เนื่องจากสิ่งเสพติดเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อธาตุโลหะในร่างกาย และทำลายการทำงานของปอด
เพราะฉะนั้น โดยหลักเกณฑ์ที่มีมาแต่ครั้งบรรพกาลกล่าวได้ว่า "อาหารเจ" หรือ "อาหารของคนกินเจ" จีงเป็นอาหารที่ปรุงและรับประทานตาม หลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณจองจีนนั่นเอง

ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ

    1.) พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอนอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจ จำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้อ อย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุงและการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบ ตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้
    - สีแดง(แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ ได้แก่ มะเขือเทศ, พริกสุก, หัวแคร์รอต มะละกอ, ส้ม, แตงโม ฯล
    - สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ ได้แก่ มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู ละมุด, ลูกหว้า, องุ่น ฯลฯ
    - สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน ได้แก่ ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง มะม่วง, กล้วย, ทุเรียน ฯลฯ
    - สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้ ได้แก่ ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง ฝรั่ง, ชมพู่, มะเฟื่อง ฯลฯ
    - สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ ได้แก่ หัวผักกาดขาว, ผักกาดขาว, กะหล่ำดอก มะพร้าว, น้อยหน่า ฯลฯ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบโดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือหายาก แต่ควรยึดหลักประหยัดแต่มีคุณประโยชน์สูง

       2.) เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วเปลือกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว
      ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้ ควรหมุนเวียนไปให้ครบทุกสีจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง
       ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน
       1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ
       2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต
       3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม
       4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ
       5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด
       ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

      3.) การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี

     4.) งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
       สำหรับผู้ทำ อาหารเจ รับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งานที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงาปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย

      5.) ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้
     รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
     รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
     รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
     รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
     รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด

     6.) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

     7.) เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ ทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปนและปริมาณน้ำตาลที่เยอะเกิน ที่สำคัญดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้วเป็นประจำทุกวัน

ขอบคุณเนื้อหาจาก บ้านฝัน.คอม

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

 
รู้จักความสุข...อย่างถูกต้อง
           “การรู้จักสุข คือ ต้องเห็นคุณ เห็นโทษ คุณของสุขนั้นใครๆ ก็รู้  แต่โทษของมันนั้นไม่ค่อยตระหนัก โทษของมัน คือ มันไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนเสมอ และทำให้ประมาทหากหลงใหลมัน  คนเราถ้า "รู้จัก" สุข ก็จะรู้จักเกี่ยวข้องกับสุขเป็น แม้จะเป็นกามสุขก็ตาม ก็คือ เสพแล้วไม่ติด เปรียบเหมือนคนที่รู้จักกินปลาก้างปลาก็ไม่ตำปาก  ถ้ากินมูมมาม ขาดสติ ก้างก็จะตำปาก กามสุขเป็นอย่างนั้นแหละ เมื่อเสพแล้วมักจะติดหรือเพลิน   ถ้าเอาความรู้สึกเป็นใหญ่ก็จะติดใจเมื่อได้เสพ   คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาถึงขั้นที่จะเรียกว่า รู้จักสุขหรือทุกข์อย่างแท้จริง  ส่วนใหญ่ใช้ความรู้สึกทั้งนั้น เอาความชอบใจเป็นหลัก ไม่ได้สนใจความจริงหรือความถูกต้อง จึงเป็นทุกข์ กลายเป็นทาสความทุกข์”

พระไพศาล วิสาโล
วัดป่าสุคะโต

ทำใจไม่ได้แม้รู้ว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา?

ศิริวรรณ ประพันธ์ธุรกิจ ปุจฉา - กราบเรียนถามค่ะ ดิฉันไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเวลาเจอกับเรื่องของความตายทีไร ต้องร้องไห้ทุกที ทั้งๆ ที่จิตใจรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ได้ดูวีซีดีที่พระอาจารย์โปรดนำทางคนใกล้ตายท่านสงบมาก แต่ดิฉันดูไปร้องไห้ไปทั้งๆ ที่ไม่รู้จักคนตายด้วยซ้ำไป ทำอย่างไรจึงจะไม่ร้องไห้เวลาได้ประสบกับเรื่องของความตาย กราบขอบพระคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - ที่คุณร้องไห้คงเป็นเพราะเวลาได้ยินได้รับรู้เรื่องนี้แล้วทำให้ระลึกถึง ความตายของตนเอง ในใจคุณนั้นยังมีความอาลัยในชีวิต ความหวงแหนในตัวตน รวมทั้งความกลัวตาย จึงรู้สึกหวั่นไหว ไม่สามารถครองใจเป็นปกติได้เมื่อตระหนักชัดว่าสักวันหนึ่งคุณเองก็ต้องตาย เหมือนคนอื่นๆ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา อย่าปฏิเสธปฏิกิริยาดังกล่าวของใจ เมื่อร้องไห้ก็รับรู้ว่าร้องไห้ ยอมรับมัน อย่าไปกดข่มมัน
ที่คุณพูดว่า “จิตใจรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา” อันนี้เป็นการรู้ในระดับเหตุผล หรือระดับสมอง แต่ยังไม่ลงลึกไปถึงระดับอารมณ์หรือหัวใจ พูดอีกอย่าง คือสมองกับหัวใจยังไม่ไปด้วยกัน สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ระลึกถึงความตายบ่อยๆ ที่เรียกว่า มรณสติ การระลึกนึกถึงบ่อยๆ จะช่วยให้ใจยอมรับความตายได้ดีขึ้น

พระสุรินทร์
วัดป่าสุคะโต
 

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

14 พฤติกรรมนำพาไปหามะเร็ง
 

ความน่ากลัวของ “มะเร็ง” คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยหลายคนจึงถูกมะเร็งคร่าชีวิตไปนับไม่ถ้วน แม้จะได้รับการเยียวยารักษาอย่างดีแล้วก็ตาม 
สำหรับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการ
เป็นมะเร็งนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มี 14 ประการ ดังต่อไปนี้

1.นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะการนอนดึก มักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2.คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็ง

3.เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่  มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอา ๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไว

4.แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็ว ราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5.ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ในคนที่ภูมิไม่ดี ไม่มีการออกกำลัง พักผ่อนน้อย โดยเฉพาะผู้อายุมากที่ภูมิคุ้มกันต่ำก็จะได้มะเร็งแถมเข้ามาในชีวิตทันที  ดังนั้นถ้าเคยมีประวัติไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ก็ต้องพยายามเสริมภูมิต้านโรคไว้ให้รู้สึกอยู่เสมอว่าเรามีระเบิดเวลาในกายจะได้ไม่ประมาท

6.ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7.ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8.กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย  เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9.ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ  พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดี มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10.ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย  ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11.ปะทะเค็มจัด พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวก เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12.ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดี ๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมา

13.ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสี ที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

14.ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ “อยาก” อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี “สารสุข” หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้ว



วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556


    Butterscotch-Pecan Cake
             and my new bottle of Rum...


       The Cake   
                         3 3/4 cups cake flour               
                         1 1/4 tsp. baking powder
                         2  tsp. salt 
                         2 1/2 sticks butter
                         2 cups dark-brown sugar
                         4 eggs, room temperature
                         1 tbsp plus 1 tsp pure vanilla extract
                         1 1/4 tbsp golden or dark rum
                         1 1/4 cups buttermilk
      Brown butter-cheese frosting
                   3 sticks butter
                         1 cup dark-brown sugar
                         1 cup heavy cream 
                         Pinch of salt
                         16 ounces cream cheese
                         1/2 cup confectioners' sugar
      The Butterscotch Sauce
                   2/3 cup dark-brown sugar
                         6 tbsp butter
                         1/3 cup light corn syrup
                         Pinch of salt
                         1/2 cup heavy cream
                         Toasted pecan halves, chopped, plus some halves for garnish
Directions
            1. Preheat oven to 325 degrees. Coat three 8-by-2-inch round cake pans with cooking spay.
            2. Beat butter and brown sugar on medium-high speed until light and fluffy. Beat in eggs 1 
at a time, beat well after each addition. Add vanilla and rum. Reduce speed to low then add flour (mixed with baking powder and salt), and buttermilk in 2 additions. Beat more 2 minutes on medium-high, and divide batter among pans.
            3. Bake until golden brown about 30-40 minutes. Let cool on wire racks.
            4. Melt 1 stick butter in a saucepan over medium heat until dark golden brown. Add sugar, cream, and salt, stirring until dissolves. Bring to a boil whisking contantly, and cook more for a few minutes. Pour to a mixer bowl and let cool.
            5. Beat on low speed adding remaining butter a few small pieces at a time until well incorporated. Beat on medium speed for 2 more minutes.
            6. In another bowl, beat cream cheese and sugar powder on medium until smooth and fluffy. Add brown-butter mixture and beat until smooth. Cover and refrigerate until chilled, 2 hours or more, beating on low speed before using.
            7. To make the sauce, mix sugar, butter, corn syrup, and salt in a saucepan over medium heat, cook, stirring until dissolves. Bring to a boil and cook for 2 minutes, then whisk in cream and cook for 2 more minutes. Let cool slightly.
            8. Brush butterscotch sauce on each layer of cake, and spread the frosting, gently press each layer to compact.
            9. Spread more frosting on sides of the cake, and press chopped pecans on sides, garnishing top with halves. Refrigerate about 4 hours or until firm before serving.  
            yummy.. yummy.

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แม่เสือซูซี่

            นี่เป็นจดหมายรักที่คุณครูชั้นประถมปีที่สองท่านหนึ่งยึดมาจากนักเรียนแล้วส่งให้พ่อแม่ของนักเรียนคนนั้น  ซึ่งส่งมาให้ผมอีกทอดหนึ่งในภายหลัง
                      บิลลี่จ๋า ถ้าตัวไม่บอกรักเค้าและไม่เดินไปส่งเค้าที่ป้ายรถละก็  
                  เค้าจะฆ่าตัวตายและจะทุบตัวให้หายแค้น  เค้ารักตัว อยากแต่งงาน
                  กับตัวเร็วๆ
                                                                                                         ซูซี่
             แม่หนูคนนั้นอายุแค่ 8 ขวบ  ตอนที่ผมได้รับจดหมายฉบับนี้จากพ่อแม่ของเธอ  เธออายุ 24 ปีแล้ว  ที่โต๊ะอาหารช่วงเตรียมงานหนึ่งวันก่อนซูซี่จะเข้าพิธีแต่งงานกับบิลลี่  ผมเอาจดหมายให้แขกที่มาซักซ้อมในพิธีอ่าน  ขณะซ้อมการให้คำปฏิญาณ  ผมบอกให้ซูซี่พูดตามว่า  
             "ข้าพเจ้า นางสาวซูซี่  ขอให้สัญญากับนายบิลลี่ว่าจะไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาด  และจะไม่ทุบตีทำร้ายเขาด้วย"
             หากชีวิตคู่ยืนยาวเท่ากับความรักของซูซี่  และความรักของเธอยิ่งใหญ่เท่ากับเสียงหัวเราะในระหว่างพิธีแต่งงานวันนั้น  ผมพนันได้เลยว่าสามีภรรยาคู่นี้จะต้องครองรักกันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร
                                                                                                        สาธุคุณท่านหนึ่ง
                                                                                                   เมืองเบลล์วิว รัฐวอชิงตัน

ดี.เอช. ลอว์เรนซ์
(แห่งอาระเบีย)
              ตอนที่ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 3  ผมเลือกเรียนวิชาศึกษางานของ ดี.เอช. ลอว์เรนซ์ ผมไปร้านหนังสือมือสองและต้องแปลกใจกับงานเขียนที่ไม่คุ้นหู เช่น เดอะเรนโบว์ (The Rainbow), วูแมนอินเลิฟ (Woman in Love), ซันส์แอนด์เลิฟเวอร์ส (Sons and Lovers) และเลดี้ แชตเตอร์เลย์ส เลิฟเวอร์ (Lady Chatterley's Lover)
             ผมคิดเหมือนนักศึกษาหลายคนที่ซื้อหนังสือใช้แล้ว  เพราะหวังว่าคนที่เคยใช้มาก่อนจะขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญไว้  ที่ผมซื้อก็ขีดเส้นเต็มไปหมด  เมื่อพลิกดูและอ่านบางย่อหน้าพอให้รู้เรื่องก็ชักติดใจ  คิดเลยเถิดไปว่านักศึกษาหญิงคนไหนที่เรียนวิชานี้ต้องถูกสเป็คผมแน่  หนังสือทุกเล่มที่ผมซื้อมีชื่อผู้หญิงคนเดียวกันเขียนไว้บนปก  เธอขีดเส้นใต้ได้เจ๋งมาก  ทั้งที่เป็นตอนเด็ดๆ และข้อความอันงดงามเกี่ยวกับความรัก ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับเซ็กซ์
             ผมค้นหาที่อยู่ของเธอจากสมุดโทรศัพท์จนเจอ  และเสี่ยงโทรถึงเธอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น  หวังจะได้นัดไปเที่ยวกับเธอหรืออาจได้รายงานที่เธอเขียนเกี่ยวกับนายคนนี้  หนุ่มนักศึกษามักรอบจัดแบบนี้  ผมโทรถึงเธอ  แนะนำตัวเองพร้อมกับบอกความต้องการ  โอ้โฮเฮะ ! เธอไม่ใช่สาวนักศึกษา  แ่ต่เป็นอาจารย์สอนวิชาวรรณกรรมอังกฤษที่เกษียณแล้ว 
             เธอหัวเราะ  บอกว่ายินดีนัดพบผมและช่วยอธิบายเกี่ยวกับนายลอว์เรนซ์  พร้อมทั้งบอกเคล็ดลับให้สอบผ่านวิชานั้น  
             เราถูกคอกันทันที  เธออยู่ตามลำพังและมีปัญหาสายตา  เธอยื่นข้อเสนอให้ผมช่วยขับรถพาเธอไปซูเปอร์มาร์เก็ตอาทิตย์ละครั้ง  เธอจะช่วยติววิชานายลอว์เรนซ์ให้ผม  
             ตลอดเทอมนั้นเธอสอนผมเกี่ยวกับความรัก เซ็กซ์และผู้หญิง  ผมไปมาหาสู่เธอนานพอสมควร  เธอทำให้ผมเป็นผู้ชายที่ดีขึ้นกว่าเดิม
             หลายปีต่อมา  ผมบอกเธอว่าผมจะขอเธอแต่งงานถ้าเธออายุยี่สิบ  แทนที่จะเป็นเจ็ดสิบ  เธอบอกว่าเธอก็จะตกปากรับคำแน่นอน  ตอนนี้เธอเสียชีวิตไปแล้ว  ผมยังเก็บหนังสือของเธอไว้รวมทั้งความปราดเปรื่องและความรักตามแบบของเธอ  ผมได้เกรดเอในวิชานั้นด้วย

อ่านเรื่องเต็มได้จาก  True Love, Robert  Fulghum 
                                   รักแท้ แปลและเรียบเรียงโดย สมพร  วรรธนะสาร-วาร์นาโด

     

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

True Love  รักแท้

             คุณแม่อายุ 45 ปี ดิฉันอายุ 25 ปี  คุณแม่กับคุณพ่อแต่งงานกันและมีดิฉันตั้งแต่ท่านยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย  ท่านครองคู่กันอย่างมีความสุข  
             เมื่อ 2-3 ปีก่อน ในโอกาสวันคืนสู่เหย้าปีที่ 25 ของโรงเรียนมัธยมที่ท่านเคยเรียน  คุณแม่รื้อเอาหนังสือที่ระลึกรุ่นและของที่ระลึกที่ท่านสะสมออกมาให้ดิฉันดู  ดิฉันประหลาดใจมากที่เมื่อคุณแม่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับดิฉันท่านช่างเหมือนกับดิฉันเหลือเกิน  ขณะที่เรากำลังดูหนังสือรุ่นกันอยู่นั้น คุณแม่น้ำตาคลอเมื่อเจอรูปเด็กหนุ่มคนหนึ่ง  เขาชื่อเบนนี่ ท่านเคยควงกับเขาอยู่ 3 ปี
             ทั้งคู่รักกันปานจะกลืน แต่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วยเนื่องจากเบนนี่มีเชื้อสายยิว  ส่วนครอบครัวคุณแม่นับถือคริสต์นิกายแบ๊พติสต์  ทั้งสองเคยคิดจะหนีตามกัน หรือไม่ก็แอบได้เสียและแต่งงานกันโดยพลการ  หรืออย่างน้อยก็พยายามจะไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน  แต่ผู้ใหญ่ก็จับท่านแยกกัน  โดยต่างฝ่ายต่างส่งลูกไปเรียนคนละมุมของประเทศ   พวกเขาได้พยายามติดต่อกันแต่ไม่สำเร็จ  จนกระทั่งคุณแม่มาตกหลุมรักคุณพ่อ  ส่วนเบนนี่ก็เข้าเรียนแพทย์  พอเรียนจบก็ไปเป็นศัลยแพทย์ประจำกองทัพอากาศ
              ทั้งสองเจอกันในวันคืนสู่เหย้า  ดิฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร  คุณแม่ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเธอรู้สึกอย่างไรเมื่อได้เจอเขาอีก  ดิฉันรู้เพียงว่าเขายังเป็นโสด
             ปีที่แล้วคุณแม่จัดงานเลี้ยงและเชิญให้ดิฉันไปร่วมเพื่อจะได้พบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมของท่านบางคน   เมื่อก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น ดิฉันเห็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งนั่งอยู่  ไม่เคยเห็นใครหล่อเท่านี้มาก่อนในชีวิต สูง หล่อ ผิวเข้มอีกต่างหาก เข้าสูตรชายในฝันเลยเชียว
             คุณแม่แนะนำเขากับดิฉันว่าเขาคือ นายแพทย์เบนจามิน... เขาคือเบนนี่ คนรักในอดีตของท่านนั่นเอง  มันเป็นรักแรกพบของเขากับดิฉัน  เรามีความสัมพันธ์หวานชื่นต่อกันมาก
             ตอนแรกเราเก็บเป็นความลับ มันเหลือเชื่อจริงๆ  เราพากันไปพบจิตแพทย์และผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตคู่  ดิฉันต้องการรู้แน่ว่าเขารักดิฉันจริงๆ  ไม่ใช่เพราะรักคุณแม่ของดิฉัน  ในที่สุดเราก็ตกลงใจแต่งงานกัน  เราบอกเรื่องนี้แก่ครอบครัวของเขาเป็นอันดับแรก  พวกเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องพรหมลิขิตโดยแท้
             เมื่อเราบอกเรื่องนี้แก่คุณแม่ของดิฉัน  ท่านถึงกับร้องไห้แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะชนิดกลั้นความปิติยินดีไว้ไม่อยู่  ทั้งคุณพ่อและุคุณแม่โล่งใจที่เรื่องลงเอยแบบนี้...
                                                                                                                        เอส.เอฟ.จี.
                                                                                                                 หลุยส์วิลล์ เคนทักกี

             “We’re all a little weird. And life is a little weird. And when we find someone whose weirdness is compatible with ours, we join up with them and fall into mutually satisfying weirdness—and call it love—true love.” 
                                                                                                   ― Robert Fulghum, True Love                 
              เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ไปงานเต้นรำวันศุกร์หรรษากับวงดนตรีวงใหญ่งานหนึ่งที่ซีแอตเติล  คู่เต้นรำหลายร้อยคู่ออกมาวาดลวดลายทั้งในจังหวะวอลตซ์ จังหวะธรรมดา รวมทั้งฟอกซ์ทรอต...  ฟากหนึ่งของฟลอร์เป็นคู่ตายายชาวเอเชียแต่งตัวเกือบเป็นฝาแฝดกันในชุดกางเกงสีกากี เสื้อเชิ้ตตาหมากรุก รองเท้าเทนนิส กอดกันราวกับเถาวัลย์  พวกไม่เชิงเต้นรำ แค่เอนหัวไปตามจังหวะดนตรี นี่ก็พิลึก  หันไปทางไหนล้วนแต่เป็นคู่รักที่ดูพิลึกๆ  หาคู่รักที่เฉิดฉายน่าประทับใจไม่ได้เลย   แล้วไง มันสำคัญอะไรล่ะ                
             คุณอยากรู้ว่าผมคิดยังไงใช่ไหม  ผมคิดว่าเราล้วนมีอะไรแปลกๆ กันทุกคน  เมื่อพบคนที่มีความประหลาดที่เข้ากับเราได้  เราก็ร่วมวงไปกับเขา  ในที่สุดก็พึงพอใจในความพิลึกของกันและกัน  แล้วเรียกมันว่า รัก -- " รักแท้ "
                                                                                                                 โรเบิร์ต  ฟูลกัม

             เล่าเรื่องความรักสู่กันฟังสักเรื่องสิครับ  เอาเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณจริงๆ  ไม่ใช่ที่อ่านพบหรือได้ยินได้ฟังมาจากที่อื่น...            
             ... ผมได้รับจดหมายจากคนอายุตั้งแต่แปดขวบถึงแปดสิบจากทั่วสารทิศ  ทั้งชาย หญิง และผู้นิยมไม้ป่าเดียวกัน  คนฉลาดเฉลียวและคนทึ่มสุดๆ...  ตอนแรกผมคิดว่าคงจะมีแต่เรื่องหวานมันหนึบหนับเหมือนท็อฟฟี่  เรื่องรักประเภทนกน้อยสีฟ้ากับสายรุ้ง  แต่กลับได้พบความแปลกใจที่ขมปี๋เหมือนดีเกลือ  กลับได้ฟังเรื่องรักแบบพายุสลาตันระคนด้วยฟ้าผ่า..
             แค่จดหมายยังไม่ถึงใจ  ผมจึงเสาะแสวงหาเรื่องรักโดยใช้วิธีแขวนป้ายไว้ตามร้านกาแฟหรือบาร์ ตลอดจนงานเทศกาลต่างๆ ในเมืองซีแอตเติลว่า  เชิญมาเล่าเรื่องความรักของคุณให้ผมฟัง  ผมยินดีตอบแทนด้วยการเลี้ยงกาแฟและอาจทำให้คุณมีชื่อเีสียงได้  ปรากฏว่ามีคนสนใจมากทีเดียว...
             ในระยะแรก การจะให้คนเปิดใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นปัญหาพอสมควร  ผู้เล่ามักมีอาการเก้อเขินและออกตัวว่าเรื่องออกจะยืดยาวไม่หวานแหววเท่าไหร่  แต่พอได้รับกำลังใจก็ยอมเล่า  บางครั้งผู้ฟังถึงกับยืนขึ้นปรบมือให้แก่ผู้เล่า  ทำให้มีคนเข้ามาสมทบมากขึ้น  มีคนตะโกนถามว่า "ท ำอะไรกันน่ะ "
             " อ๋อ ต้องการเรื่องจริงเกี่ยวกับความรักงั้นรึ "  " ฉันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณคิดว่าเหลือเชื่อ "  แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แปลกสิ้นดี  ที่ความไม่น่าเชื่อนั้นกลับทำให้เรื่องน่าเชื่อ  หากความจริงแปลกกว่านิยายได้  ความรักก็ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก   การยุติเล่าเรื่องความรักแต่ละเรื่องดูจะยากยิ่งกว่าการพยายามยุให้พวกเขาเริ่มต้นเล่าเสียอีก  เป็นประสบการณ์ที่เราทุกคนเคยพบและอาจเกิดขึ้นอีก
             เรื่องที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่จะเล่าต่อมา คือ  หญิงสาวคนหนึ่งนั่งฟังชายหนุ่มเล่าถึงความรักที่ถูกผลักไสไร้เยื่อใยไมตรีอย่างเพลิดเพลิน  พอเขาเล่าจบ เธอบอกว่าไม่มีวันที่เธอจะปฏิเสธผู้ชายที่มีความรู้สึกกับความรักแบบนั้น  ชายหนุ่มจึงขอฟังเรื่องของเธอบ้าง  ตอนที่ผมจากมาคนทั้งคู่ยังคุยกันต่อ  จะเกิดอะไรต่อจากนั้น ในความรักทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ
             สุภาพบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นซองจดหมายสีฟ้าให้ผมฉบับหนึ่ง  พร้อมบอกว่า "ก่อนอ่านจดหมายฉบับนี้ ผมอยากให้คุณทราบด้วยว่าผมเก็บมันมานานนับสิบปีแล้ว  เป็นจดหมายจากภรรยาซึ่งผมได้แต่งงานอยู่กินกันมาจนบัดนี้"  จดหมายมีข้อความเขียนด้วยปากกาว่า
                                  แฮร์รี่สุดที่รัก
                                 ฉันเกลียดคุณ เกลียดคุณ เกลียดคุณ
                                 ด้วยความรักและนับถือเป็นที่สุด
                                                                              เอ็ดน่า

            ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา นึกเดาเรื่องที่เหลือได้โดยตลอด...  
             หลายเรื่องเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายแต่จบลงชนิดคาดไม่ถึง  จนบางครั้งคุณอดถามไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่หรือ  ผมเชื่อว่าจริง เพราะผมรู้เรื่องเกี่ยวกับรักแท้มามากจนไม่อาจโต้แย้งได้  ทุกสิ่งที่กล่าวเกี่ยวกับความรักเป็นความจริง  แม้จะไม่จริงกับทุกคนในคราวเดียวกันแต่ก็เป็นเรื่องจริงสำหรับใครบางคน ณ ที่ใดที่หนึ่ง  ในกาลครั้งหนึ่ง ความรักเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่และอาจเป็นขยะกองใหญ่...  และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตมีค่าน่าอยู่...  
                                                                                                              
อ่านเรื่องเต็มได้จาก  True Love, Robert Fulghum
                                   รักแท้  แปลและเรียบเรียงโดย สมพร  วรรธนะสาร วาร์นาโด
         

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


SPELT  สเป้ลท์
(Dinkel wheat or hulled wheat)
ชื่อวิทยาศาสตร์:  Triticum aestivum subsp. spelta

            Spelt  เป็นพืชดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งที่เกือบสูญพันธุ์ไป  เครือญาติเดียวกับข้าวสาลีแต่เก่าแก่กว่าในพืชสกุลเดียวกัน  สเป้ลท์เป็นสายพันธุ์ย่อย (subspecies) หนึ่งของข้าวสาลี  หน้าตาคล้ายต้นข้าวสาลี แป้งที่ป่นได้ลักษณะเดียวกับแป้งสาลีทั่วไปแต่สีไม่ขาวเท่าและมีความหยาบมากกว่า  หากแต่ให้คุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะแบบไม่ขัดสี (โฮลมีลWhole meal) และไม่ขัดขาว (Unbleached)
            ในปัจจุบันจึงกลับมาเป็นที่นิยมในกระแสอาหารสุขภาพ   ขนมที่ทำมาจากแป้งชนิดนี้จะออกสีไม่ขาวนวลสวยเหมือนแป้งสาลีทั่วไปแต่ให้คุณค่าทางอาหารสูงกว่าและไม่ทำลายสุขภาพเหมือนแป้งสาลีขัดสีขัดขาวทั่วไปที่นุ่มละลายในปาก   ผู้ผลิตบางรายเชื่อว่าสเป้ลท์มีคุณค่ามากกว่าข้าวสาลีทั่วไปแม้จะนำมาขัดสีเพื่อให้แป้งและขนมที่ได้สีสวยขึ้นนุ่มขึ้นเพื่อให้บริโภคได้ง่ายและมากปริมาณ
            จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 8,000 ปีก่อน เชื่อว่า  สเป้ลท์อาจเป็นข้าวสาลีพันธุ์ผสมของ emmer wheat และ Aegilops   ความจริงคนโบราณปลูกสเปลท์เป็นแหล่งอาหารเหมือนข้าวสาลีในบางส่วนในยุโรป แอฟริกาและทางเหนือของตุรกี จอร์เจีย   หลักฐานบางส่วนที่ค้นพบเืมื่อ 5,000 ปีก่อนคริสต์กลาง  สันนิษฐานว่าเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง emmer wheat กับ bread wheat    แต่สเปลท์เกือบสูญหายไปเนื่องจากผลผลิตต่อไร่ของสเปลท์เมื่อเปรียบกับต้นข้าวสาลีแล้วให้ผลผลิตน้อยกว่า   ทำให้ข้าวสาลีกลายเป็นที่นิยมในเชิงพาณิชย์เป็นเวลานาน
            ต่อมาเมื่อกระแสรักษ์สุขภาพมาแรง   ธัญพืชไม่ขัดสีและอาหารปลอดสารเคมีทำให้สเปลท์กลับมาอีกครั้ง
   แป้งสเปลท์มีปริมาณกลูเต็นพอเหมาะ  จึงใช้แทนแป้งสาลีในการทำขนมอบ  เบเกอรี่เกือบทุกชนิด  เส้นพาสต้า ลาซานญ่า  มีการหมักเบียร์และวอดก้าจากสเป้ลท์เช่นกัน   เชื่อว่าการกินอาหารจากสเปลท์  ช่วยการไหลเวียนโลหิตทำให้ลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ  ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนและโรคเบาหวาน

            สารอาหารในแป้งสเปลท์
            -โปรตีน : ซึ่งให้คุณค่าโปรตีนสูงกว่าโปรตีนของข้าวสาลี  เป็น low-fat protein  ปริมาณเพียงพอต่อความต้องการโปรตีนในแต่ละวัน
            -คาร์โบไฮเดรต : เป็นชนิดพิเศษเรียกว่า Mucopolysaccharides เป็นคาร์โบไฮเดรตที่จำเป็นสำหรับร่างกาย   คือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และมีคุณสมบัติช่วยในการแข็งตัวของเลือด  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
            -ไขมัน : อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม มีกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยในการบำรุงรักษาผนังไขมัน ป้องกันความเครียด
            -เส้นใย : เป็นชนิดละลายได้ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ด้วยวิธีดูดซึม  โดยเฉพาะชนิดไม่ได้ขัดสีจะอุดมไปด้วยเส้นใยถึง 4 กรัมต่อ 1/4 ถ้วยตวง
            -วิตามิน : สเปลท์เป็นแหล่งรวมวิตามินชนิดต่าง ๆ  โดยเฉพาะวิตามินบี ที่จำเป็นต่อระบบประสาท  โดยเฉพาะบี 2 (Riboflavin) และบี 3 (Niacin)  รวมทั้งธาตุเหล็ก ซิลิก้า กรดโฟลิค(Folic acid/บี 9) กรดแพนโทเทนิกหรือบี 5 (Pantothenic acid) และบี 1 (Thiamin)  World's Healthiest Foods ยกให้สเป้ลท์เป็นแหล่งสารอาหาร "ยอดเยี่ยม" สำหรับแมงกานีส และ "ดี" สำหรับแมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและทองแดง
            แป้งสเปลท์มีกลูเตนน้อยกว่าแป้งสาลี   มีสารอาหารพื้นฐานครบถ้วน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น สร้างเลือดดี มีอารมณ์แจ่มใส่ทำให้สุขภาพดี   อย่างไรก็ตาม คนที่แพ้โปรตีนกลูเตนในผลิตภัณฑ์แป้งสาลียังคงต้องหลีกเลี่ยงไปบริโภคอาหารที่ทำจากผลิตภัณฑ์ชนิดปลอดกลูเตน (Gluten free)  ส่วนคนที่ไวต่อโปรตีนชนิดนี้อาจยังบริโภคได้ปริมาณจำกัดขึ้นอยู่กับบุคคล
            การเลือกขนมปัง ขนมอบหรือเบเกอรี่ให้ไม่ทำลายสุขภาพนั้นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย   เลือกที่ใช้วัตถุดิบแป้งสเป้ลท์ (ให้ดีกว่าคือชนิด Organics Whole meal)  นึกถึงปริมาณเนยและน้ำตาลในส่วนประกอบด้วย  และเลือกที่ใส่สารอื่นเสริมให้น้อยที่สุดถ้าไม่จำเป็นควรเลี่ยงเสีย   เราก็จะได้ทานเค้กหรือขนมโปรดได้โดยไม่ทำลายสุขภาพ
            อย่างไรก็ตาม การจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม  นอกจากเลือกอาหารที่หลากหลาย  ปรุงจากวัตถุดิบที่ดี  สะอาด  มีคุณภาพและปลอดสารพิษแล้วต้องไม่ละเลยการออกกำลังกายและดูแลจิตใจให้เพียงพอ

www.th.wikipedia.org
www.livestrong.com/article/262465-nutritional-facts-for-spelt-flour

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556


"เจียวกู้หลาน" ชาบำบัดโรค

ชื่อวิทยาศาสตร์: Gynostemma pentaphyllum (Thunb.) Makino
ชื่อไทย: ปัญจขันธ์, เบญจขันธ์, ชาสตูล
ชื่อจีน: Jiaogulan (twisting-vine-orchid) เซียนเช่า ซียันเช่า ซีเย่ตัน
ชื่อยุโรปและสหรัฐอเมริกา: Southern ginseng, 5-leaf ginseng
ชื่อญี่ปุ่น: Amachasuru (ชาหวานจากเถา)

          การดื่มชาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคนจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ แขกอินเดียหรืออาหรับ  ล้วนมีวิถีวัฒนธรรมการดื่มชาเป็นของตนเอง  กล่าวกันว่า มนุษย์ในโลกนี้รู้จักการดื่มชามานานกว่า 5,000 ปี  ทั้งดื่มเป็นเครื่องดื่ม เพื่อความรื่นรมย์และเพื่อเป็นยา
          คนจีนและแขกดื่มชาเพื่อละลายไขมันจากอาหารที่บริโภคเข้าไป  ศัลยา คงสมบูรณ์เวช 
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนบำบัดกล่าวว่า ชาทุกชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์สูง  โดยเฉพาะฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคได้หลายโรค
          นักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์พบว่า ผู้ที่ได้รับสารฟลาโวนอยด์อย่างสม่ำเสมอจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือดลดลงถึง 68%  ซึ่งสารที่ว่านี้พบมากในชาดำ หัวหอมและแอ๊ปเปิ้ล
          องค์การอาหารและเกษตรสหรัฐฯ รายงานการวิจัยว่า การดื่มชาดำวันละ 5 ถ้วยช่วยลดแอลดีแอลหรือคอเลสเตอรอลที่ชอบไปเกาะตามผนังหลอดเลือดลดลงถึง 11.1%  ส่วนการวิจัยในบอสตันระบุว่า ผู้ที่ดื่มชาดำวันละถ้วยจะช่วยลดความเสี่ยงจากหัวใจวายได้ถึง 44% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มชา
          การศึกษาด้านคลีนิกและเภสัชในต่างประเทศและในจีนพบว่า เจียวกู้หลานเป็นสมุนไพรที่ใช้รับประทานเป็นประจำได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลข้างเคียงเช่นโสมหรือสมุนไพรบางชนิด ไม่ว่าจะใช้ทั้งต้นหรือสกัดออกมาซึ่งประกอบด้วยตัวยามากกว่า 50 ชนิด 
          ปัจจุบันกระแสการดื่มชาเป็นที่นิยมแพร่หลายพอๆ กับกาแฟ  มีหลากหลายชนิดเลือกได้ตามรสนิยม  ถ้าชาดำขมไปก็มีชาเขียว ชาขาว ชาดอกไม้ ชาผลไม้และชาสมุนไพร
          เจียวกู้หลาน เป็นชาอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย  โดยเฉพาะการนำมาใช้เพื่อป้องกัน ยับยั้งและบำบัดโรคหลายชนิด  มีคุณสมบัติในการส่งเสริมธาตุหยินและหยางของร่างกาย  ปรับสมดุลของร่างกายและความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ  สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ผ่อนคลายความเครียด
          เจียวกู้หลานเป็นพืชต่างสายพันธุ์กับโสม  แต่มีสารซาโปนินที่มีโครงสร้างโมเลกุเหมือนกับโสม  มีคุณสมบัติลดอาการป่วยจากโรคตับอักเสบและเบาหวาน  โดยช่วยกระตุ้นการสร้างอินซูลินจากตับอ่อน
          เจียวกู้หลานมีสารซาโปนิน 82 ชนิด เรียกว่า Gypenosides 1-82 ซึ่งมากกว่าที่มีในโสม 3-4 เท่า  ในจำนวนนี้มี 4 ชนิดที่เหมือนกับที่พบในโสมคนคือ Ginsenosides, Rb 1, Rd และ F3 และอีก 17 ชนิดมีคุณลักษณะคล้ายโสม  คุณสมบัติทางยาดีกว่าที่พบในโสมอื่นๆ โดยเฉพาะไม่มีพิษและไม่มีอาการแพ้จากการบริโภค
          ผลการวิจัยของจีนและญี่ปุ่นพบสรรพคุณตรงกันว่า มีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้นอนหลับ ลดระดับไขมันในเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิด  ต้านการอักเสบและลดระดับความดันโลหิตสูง  รวมทั้งลดระดับน้ำตาลในเลือด
          ข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ที่มีการเผยแพร่ผ่านเอกสารทางวิชาการจำนวนมากยืนยันว่า เจียวกู้หลานสามารถป้องกันโรคเบาหวาน ไขมันในเส้นเลือด โรคมะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้  ช่วยลดอาการไตวายและอาการปวดหัวข้างเดียวหรือไมเกรนได้
          ควรดื่มชาเจียวกู้หลานหลังอาหารเช้า กลางวันหรือเย็น  หรือดื่มก่อนนอนจะช่วยทำลายอาหารตกค้างในอาหารที่ไม่สะอาด ย่อยสลายไม่หมด ขับสารพิษในกระเพาะอาหารและลำไส้
          การชงชาเจียวกู้หลาน ชาดอกไม้ ชาดำ ชาแดง ชาอูหลง ควรชงด้วยน้ำร้อนจัดถึง 100 องศาเซลเซียส เพื่อให้ใบชาคลายรสชาติที่ดีออกมา  มีเพียงชาเขียวที่ไม่ควรชงด้วยน้ำเดือดเพราะจะทำลายรสชาติความสดของชา

ที่มา:  นสพ.ไทยรัฐ, 5 พฤษภาคม 2555 และ Health Journal Balance issue 7

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

อาหารบางชนิดที่ผู้คนมักมองว่าไม่ดีกับสุขภาพ

            แต่ถ้ารู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ ปริมาณและความถี่ที่จะรับประทาน  เราก็จะได้ประโยชน์มากกว่าโทษ
            ชีส
            ชีสอุดมด้วยไขมันและแคลอรี แต่ก็เป็นแหล่งสำคัญของโปรตีน  แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสีและวิตามินบี 12   มีวิตามินดีและแมกนีเซียมซึ่งทำงานร่วมกับแคลเซียมซึ่งจำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่ง  มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายและกรดไลโนเลอิกโมเลกุลคู่ซึ่งเป็นไขมันประเภทดี  มีปริมาณน้ำตาลน้อย  เลือกชีสชนิด Strong-flavored เช่น เฟต้าชีส บลูชีส และชีสพาร์เมซานสด (ไม่ขูด)  ซึ่งจะใช้ในปริมาณน้อยหากนำไปปรุงอาหาร   ข้อควรระวังสำหรับผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงคือ ชีสมักมีปริมาณเกลือสูง  ให้ดูประเภทโซเดียมต่ำ (Low sodium)  และถ้าเลือกชีสประเภทไขมันต่ำ เรามักโน้มเอียงที่จะกินปริมาณมากขึ้น  เช่นเดียวกับชีสไม่มีไขมันซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรส  อาจเผลอใส่ปริมาณมากเพื่อให้อร่อยขึ้น  สรุปคือ ต้องดูรายละเอียดในฉลากผลิตภัณฑ์เลือกที่ปริมาณโซเดียมและไขมันต่ำและต้องจำกัดปริมาณที่แน่นอนแต่แรกห้ามใส่เพิ่มเพียงเพื่อรสชาติความอร่อย

             ช็อกโกแลต
             คนมักบอกว่าช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของสิวและความอ้วน  ที่จริงช็อกโกแลตมีสารต้านการเกิดมะเร็งและโรคหัวใจเช่นเดียวกับในผักและผลไม้   เว้นแต่ว่ามีไขมันสูงกว่าเท่านั้น  ช็อกโกแลตยังเพิ่มสารเซโรโทนินในสมองทำให้หายหดหู่อารมณ์ดีขึ้น  ดูส่วนประกอบที่ฉลากว่ามีสัดส่วนอย่างไรเลือกดาร์กช็อกโกแลต  ช็อกโกแลตยิ่งเยอะก็หมายความว่าใส่โกโก้บัตเตอร์ซึ่งอุดมด้วยไขมันน้อยลง  หลีกเลี่ยงช็อกโกแลตที่ผสมคาราเมล มาร์ชเมลโลว์ และไขมันและน้ำตาลที่ทำให้อ้วน

              เนื้อสัตว์
              เนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นแหล่งใหญ่หลักๆ ของโปรตีนและสารอาหารที่ร่างกายต้องการ  แต่หากบริโภคในปริมาณมากเป็นหลักหรือล้นเกินก็มีผลเสียกับสุขภาพหลายประการทีเดียว  เลือกเนื้อวัวหรือเนื้อหมูที่มีปริมาณไขมันแทรกอยู่น้อย(เนื้อโคนขาหรือสะโพก)  เนื้อซี่โครงและทีโบนมีไขมันและแคลเลอรี่มากเป็นเท่าตัวของส่วนอื่น  เลือกเนื้อไก่ที่ไม่มีหนังและไม่มีมันยังดีกว่าเนื้อสีแดง  และควรบริโภคน้อยครั้ง  ที่ดีที่สุดและควรบริโภคมากกว่าเนื้อชนิดอื่นคือ ปลา  นอกจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์แล้วเราใช่ไข่ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีเช่นกัน ในผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพหรือโคเลสเตอรอลจากอาหารสูง  เลือกให้ไข่ขาวเิพิ่มสำหรับเพิ่มปริมาณโปรตีนในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอแทนเซลล์ที่เสียไปทุกวัน

              กาแฟ
              มีการวิจัยเร็ว ๆ นี้ให้ผลว่า กาแฟไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ  เนื้อเยื่อในหน้าอกผิดปกติ หรือความดันโลหิตสูง  แต่คาเฟอีนช่วยบรรเทาอาการแพ้ ทำให้กระฉับกระเฉงและสมาธิดีขึ้น  หากดื่มไม่เกิน 2 แก้วต่อวันขึ้นอยู่กับปริมาณกาแฟหรือความเข้มที่ใส่  ระวังครีมเทียมหรือนมกับน้ำตาลที่ใส่ให้มาก  เลี่ยงกาแฟแก้วใหญ่ๆ ที่มีครีมเทียมหรือนมข้นหวาน นมข้นจืด น้ำตาลและวิปครีมที่ให้พลังงานและไขมันไม่ต่ำกว่า 300 แคลอรี่ซึ่งเท่ากับอาหารจานเดียวถึง 1 จาน

             ถ้าทุกคนระวังและหลีกเลี่ยงได้ตามนี้  เราก็ยังจะได้รับประทานของอร่อยหรือไม่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน และไม่ทำลายสุขภาพด้วย

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556


TAKING A WOMAN TO BED
What is the difference between girls/women 
aged 8, 18, 28, 38, 48, 58, 68, and 78 ?

At 8...  You take her to bed and tell her a story.
At 18... You tell her a story and take her to bed.
At 28... You don't need to tell her a story. Take her to bed.
At 38... She tells you a story and takes you to bed.
At 48... She tells you a story to avoid going to bed.
At 58... You stay in bed to avoid her story.
At 68... If you take her to bed, that'll be a story.
At 78... What story ? What bed ? Who is he ?

ขำขำ จาก "เรียนภาษาอังกฤษกับโจ๊ก Joke" จาก คู่สร้างคู่สม



วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

  น้ำพริก
(ตอนต่อ)
 
           น้ำพริกเบสิค หรือน้ำพริกมาตรฐานตอนที่แล้วเป็นน้ำพริกสำหรับจิ้มผักดิบรับประทานกับปลาทูทอดซึ่งรู้จักกันทั่วไป เพราะจะมีในสำรับกับข้าวคนไทยเกือบทุกบ้าน  อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าน้ำพริกนั้นมีมากมายหลายอย่างเกินกว่าจะกล่าวถึงได้หมด  การจะตำน้ำพริกอื่นๆ ให้มีรสชาติแปลกออกไป  จะต้องมีเครื่องปรุงของน้ำพริกมาตรฐานนี้เตรียมไว้  แล้วถึงดูว่าจะตำน้ำพริกอะไร ต้องเพิ่มอะไรเข้าไปหรือต้องถอดอะไรออก  เช่น ถ้าเกิดเบื่อผักดิบขึ้นมา  จะใช้ผักต้มจิ้มน้ำพริก  ก็ตำน้ำพริกสูตรมาตรฐานนี้เพียงแต่ผสมปรุงรสให้เหลวกว่าน้ำพริกชนิดอื่น  โดยใส่เกลือแต่น้อยใช้น้ำมะนาวและน้ำปลาให้มาก  ถ้าเหลวไม่พอก็อาจใส่น้ำเพิ่มได้  
           สำหรับผักต้มจิ้มน้ำพริกนั้น ถ้าให้มีความโรมานซ์ พิเศษเพิ่มไปอีก  ให้เอาหัวกะทิตั้งไฟให้เดือดพอจะเป็นขี้โล้ตักเหยาะลงในน้ำพริกนิดหน่อย  น้ำพริกจะรสนุ่มนวลและดูน่ากินขึ้น  ถ้ายังไม่หนำใจและให้พิเศษกว่านั้น ให้เผาพริกชี้ฟ้าเขียวแดงเหลืองแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ โรยหน้าลงไป  หัวกะทินี้ยังใช้หยอดหน้าผักต้มด้วย เช่นมะเขือ หน่อไม้สด ข้าวโพดอ่อน ยอดฟักทอง หัวปลี ผักกะเฉด ผักบุ้ง ดอกแค มะระขี้นก และอื่นๆ ตามชอบ
           น้ำพริกผักดอง  คนรุ่นใหม่มักไม่ค่อยรู้จักกัน  แต่เป็นน้ำพริกที่ดิฉ้นเห็นแม่ทำกินมาแต่เด็ก  น้ำพริกที่ใช้คือน้ำพริกมาตรฐานนั่นเอง แต่เมื่อใช้ผักดองอันเป็นของเปรี้ยวจิ้ม  น้ำพริกก็ต้องตำให้อ่อนเปรี้ยวลง คงรสเค็มกับหวานไว้  มิฉะนั้นจิ้มผักดองแล้วจะมีรสเปรี้ยวมาก  ใครที่ใส่น้ำตาลในน้ำพริกไม่ค่อยเป็นคงต้องหัดทำหมูหวานไว้แนมจะอร่อยขึ้นมาก
           สำหรับน้ำพริกผักทอด ส่วนใหญ่และให้ง่ายใช้มะเขือยาวหรือชะอมชุบไข่ทอด  น้ำพริกก็ให้เหลวหน่อยและให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวานทั้งสามรสเท่าๆ กัน  นอกจากนี้เห็นจะเป็นใบผักและดอกที่ชุบแป้งทอด ที่เคียงกับขนมจีนน้ำพริกคือ ดอกโสน ดอกขจร ดอกเข็ม พวงชมพู ใบทองหลาง ใบผักบุ้ง ใบเล็บครุฑ  
            น้ำพริกมะขาม  น้ำพริกครกนี้ตัดมะนาวออกไปได้เลย ทั้งน้ำพริกใบและดอกมะขามสด  น้ำพริกมะขามสดและน้ำพริกมะขามเปียก นอกเสียจากว่าตำเสร็จแล้วยังเปรี้ยวไม่หนำใจค่อยเติมมะนาวอีกได้  สำหรับน้ำพริกส้มมะขามเปียกใช้พริกแห้งตำ  และรับประทานกับช่อมะม่วง มะม่วงขบเผาะและหรือผักอื่น  ปลาทูนึ่งทอดหรือปลาดุกย่างฟูและหมูหวาน   น้ำพริกมะขามเปียกนี้ หากใส่กากหมูลงไปแล้วผัดน้ำมันให้หอมดี  ใช้รับประทานกับทองหลางใบมนหรือใบลายทอด  และจะมีไข่เค็ม หมูหวาน หรือปลากุเราทอด อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทุกอย่างเป็นเครื่องแนม
            น้ำพริกบางอย่างใช้ของที่มีรสเค็มใส่เป็นของสำคัญและเรียกชื่อน้ำพริกตามนั้น  ก็อิงน้ำพริกมาตรฐานแต่ว่าชักกะปิออก เช่น น้ำพริกลูกหนำเลี๊ยบใช้เนื้อลูกหนำเลี๊ยบลงตำแทนกะปิ  ก็จะได้น้ำพริกแปลกๆ อีกครก  หรือน้ำพริกเต้าหู้ยี้ก็ใส่เต้าหู้ยี้แทนกะปิ  แต่สองอย่างนี้ไม่อร่อยเท่าน้ำพริกกะปิ  อาจลองตำชิมแก้เบื่อ  หรือถ้ายังอยากดัดจริตต่อไปอีก  ก็เอาข้าวสวยร้อนๆ และน้ำพริกมาตรฐานลงคลุก แล้วแกะเนื้อลูกหนำเลี๊ยบหรือเต้าหู้ยี้ลงคลุกเพิ่ม ก็จะได้รสอร่อยอย่างใหม่ขึ้นมาอีก  อะไรที่ยังไม่อร่อยถูกใจแนมด้วยหมูหวานเสียก็จะอร่อยได้ดังใจ 
            นอกจากนี้ยังมีน้ำพริกเต้าเจี้ยว  สมัยนี้มีเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นขายกันมากมาย  ซึ่งตำได้อร่อยง่ายกว่าเต้าเจี้ยวจีนซึ่งมีหลายชนิดต้องเลือกดู  อาจต้องทดลองไปทีละอย่าง  ครกนี้ตัดกะปิและน้ำปลาเด็ดขาดเพราะเต้าเจี้ยวเค็มอยู่แล้ว ถ้าตำเสร็จแล้วยังเค็มไม่พออาจเติมเกลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  รับประทานกับมะเขือยาวเผาและผักสดอื่นเช่น ยอดผักบุ้งไทย มะเขือเปราะและขมิ้นขาว  สำหรับปลาใช้ปลาดุกย่างทอด ปลาช่อนหรือปลาอื่นที่มีเนื้อมากๆ ทอดให้ฟูก็ได้
            มีน้ำพริกอีกบางรายการที่ไม่ได้ใส่กะปิ ในกรณีที่เบื่อน้ำพริกกะปิ เป็นการหนีความจำเจชั่วคราว เช่น น้ำพริกปลากุเรา  ให้โขลกกุ้งแห้งกับกระเทียม  เอาปลากุเราปิ้งไฟพอสุกแกะเอาแต่เนื้อลงโขลกด้วยกันแล้วจึงใส่พวกมะอึก น้ำตาลปึก มะนาว พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า   รับประทานกับปลาดุกย่างหรือปลาช่อนทอดและผักอื่น  ให้อร่อยตามฤดูกาลคือมะม่วงขบเผาะที่ร่วงใต้ต้น  หน้ากระท้อนก็รับประทานกับกระท้อน หรือชมพู่ที่เนื้อกรอบๆ
            น้ำพริกเมืองเหนือมักใช้ถั่วเน่าหรือปลาร้าแทนกะปิภาคกลาง  นอกเสียจากคนภาคกลางหาถั่วเน่าไม่ได้อาจใช้กะปิเพียงเล็กน้อยแทนถั่วเน่า แค่พอมีกลิ่นเท่านั้นที่   น้ำพริกอ่องใช้พริก กระเทียม มะเขือเทศและหมูสับเป็นหลัก  รับประทานกับผักสดได้หมด   น้ำพริกข่ารับประทานกับเห็ดนางฟ้าต้มสุก   น้ำพริกหนุ่มใช้พริกหนุ่มเผา(ไม่ใช่พริกชี้ฟ้า) กระเทียมและหอมแดงเอามาเผาก่อนตำ รสออกเผ็ดและเค็มเท่านั้น  รับประทานกับแตงกวาสดและผักลวกผักนึ่งได้หมด  อาจมีหมูหรือไก่ทอดไว้แก้เผ็ดและที่ขาดไม่ได้คือ ข้าวเหนียวเอาไว้จิ้มน้ำพริกกินได้อีก  น้ำพริกอีกอย่างที่จะพูดถึงนี้ดิฉันนึกอยากตั้งแต่ได้อ่านเจอ นั่นคือ น้ำพริกขี้กา เครื่องปรุงมีเพียงกุ้งแห้งป่นหรือปลากรอบปิ้งไฟแล้วป่น กระเทียมกับพริกชี้ฟ้าถ้าเผาได้จะหอมกว่า น้ำปลา น้ำมะนาวและน้ำตาลเท่านั้น รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ และผักสด
            น้ำพริกที่ใช้ผลไม้รสเปรี้ยวตำนั้น ส่วนใหญ่เป็นน้ำพริกผัด  ยกเว้นน้ำพริกมะม่วง  น้ำพริกผัดถ้าให้อร่อยจริงโดยไม่นึกถึงสุขภาพก็ต้องผัดด้วยน้ำมันหมูและใส่กากหมูเจียวเล็กน้อย เช่น น้ำพริกกระท้อน (น้ำพริกกระท้อนทำได้ทั้งผัดและไม่ผัด)  น้ำพริกเผา  น้ำพริกมะดัน  น้ำพริกลงเรือ  น้ำพริกแอ๊ปเปิ้ล น้ำพริกพริกไทยสด ฯลฯ
            ยังมีน้ำพริกอีกมากมายแล้วแต่จะนึก  แล้วแต่ว่ามีอะไรฤดูไหน  ท้องถิ่นไหน เช่น น้ำพริกไข่เค็ม น้ำพริกเห็ด  น้ำพริกไข่ปู   หาอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ "น้ำพริก" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช  ซึ่งตอนนี้เป็นตำราอาหารที่ดิฉันมีติดครัวไว้เสมอ


  

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

Welcome to our hottest time of the year ! 
อาหาร กับ อากาศร้อน
(อาหารฤทธิ์เย็น)
          หลักความเชื่อเรื่องความร้อน-เย็นของร่างกายมีความสัมพันธ์กับสุขภาพและการเจ็บป่วยของผู้คนมีมานานเป็นพันๆ ปี   การแพทย์แผนจีนเรียกว่า หยิน-หยาง  มีการรักษามากว่า 5,000 ปี  พบหลักฐานบันทึกทางการแพทย์เก่าแก่อายุประมาณกว่า 2,500 ปีมาแล้วเกี่ยวกับ "การป่วยไข้ที่ใช้อาหารเป็นยารักษา"   วิถีแบบเต๋าเชื่อว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลและธรรมชาติ   หยินคือ ความเย็น หยางคือ ความร้อน  อาหารที่เรากินเข้าไปก็มีทั้งฤทธิ์ร้อนและเย็นจึงมีผลต่อความสมดุลของหยิน-หยางในร่างกายเราโดยตรง   สมดุลร้อนเย็นในร่างกายเราก็คือ ภาวะอุณหภูมิหรือธาตุไฟ  ซึ่งมีเหตุปัจจัยมาจากอาหาร อารมณ์ สังคม การงาน เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดการแปรปรวนได้   ถ้าสองสิ่งนี้เสียสมดุลก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย  การรักษาเยียวยาหรือป้องกันจึงมุ่งรักษาสมดุลของหยิน-หยาง  
             ในทางอายุรเวชศาสตร์ แพทย์แผนอินเดียนั้นเห็นว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  การกินอาหารที่ดีต้องกินให้สอดคล้องกับธรรมชาติและกับร่างกาย   กุญแจสู่สุขภาพที่ดีคือการรักษาสมดุลของธาตุในร่างกาย  เรียกว่า เรือนธาตุ ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ   
            แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกในแนวธรรมชาติบำบัดพื้นฐานนั้น  พบว่าภาวะร้อน-เย็นในร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนแข็งแรงหรืออ่อนแอ  ซึ่งปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งมาจากอาหารการกินในแต่ละมื้อแต่ละวัน แต่ละโอกาสเทศกาล  แม้ว่าร่างกายจะประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ  แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้อวัยวะต่างๆ สมดุล ก็คือไฟนั่นเอง   เมื่อร่างกายร้อนเกินหรือเย็นเกินจะทำให้เกิดความอ่อนแอและล้มป่วยลงได้ถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน   ถ้าร่างกายมีธาตุไฟที่สมดุลคือไม่ร้อนเกินและไม่เย็นเกินจะทำให้สภาวะเลือดมีประสิทธิภาพ  ทั้งในการหล่อเลี้ยงร่างกายและการต้านโรคทั้งหลายที่คอยรุมเร้าชีวิตผู้คน
            ทุกวันนี้คนเราส่วนใหญ่มีสภาวะร่างกายหนักมาทางร้อนเกิน  ภาวะร่างกายที่ร้อนเกินคือสาเหตุของโรคร้ายแรงทั้งหลาย   ซึ่งเกิดจากวิถีชีวิตที่เคร่งเครียด การงานเต็มไปด้วยการแข่งขัน  สังคมระบบทุนนิยมและระบบอุตสาหกรรม  สิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ  อากาศอบอ้าวแดดร้อน  อาหารเครื่องดื่มฤทธิ์ร้อนและปนเปื้อนสารปรุงแต่งเคมีสารพิษ  อาการแช่แข็งอาหารสำเร็จรูป  เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย  ความกังวลความโกรธ  การใช้สารเคมีมากขึ้นในชีวิตประจำวันรวมทั้งยารักษาโรค  ระบบการเผาผลาญในร่างกาย   เหล่านี้ล้วนสร้างความร้อนในกับร่างกาย   อาจมีอาการแสดงออกเนื่องจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน เช่น ตาแดง ตาแห้ง ขอบตาคล้ำ มีสิวฝ้า กระเนื้อ ตุ่มแผลโรคในช่องปาก นอนกรน ปากคอแห้ง  ผมร่วงหรือหงอกก่อนวัย รังแค  ปวดหัวตัวร้อน มีไข้  เส้นเลือดขอด  เส้นเลือดฝอยแตกเป็นจ้ำตามใต้ผิวหนังบางที่  เป็นตะคริวบ่อย  ท้องผูกหรือบางครั้งท้องเสียแทรก  ปัสสาวะปริมาณน้อย สีเข้ม อาจแสบขัด  ปวดท้องหรือท้องอืด  ผิวหนังมีผื่น เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน  หายใจร้อน มีเสมหะเหนียวข้น  อ่อนเพลียเมื่อเดินทางด้วยรถยนต์ ง่วงนอนหลังกินข้าว  ไหล่ติดยกแขนขึ้นไม่สุด ฯลฯ   เมื่อมีอาการเตือนบ่อยๆ นานๆ ไม่ได้รับการแก้ไขในที่สุดก็ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไซนัสอักเสบ หลอดลมหรือกล่องเสียงอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร หอบหืด ไอกรน ไตอักเสบจนไตวาย นิ่วในไต ในกระเพาะปัสสาวะหรือในถุงน้ำดี  ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น  
            ตัวอย่างของโรคมะเร็งและเนื้องอก เกิดจากความร้อนในร่างกายมากเกินและนานต่อเนื่อง  ทำให้ความร้อนนี้ไปเผาผลาญเซลล์ในร่างกายตายไปเซลล์แล้วเซลล์เล่า จนเกินสภาพเซลล์ที่แข็งกระด้าง  เกิดทับถมกันจนกลายเป็นเนื้องอกนานเข้าขยายกลายเป็นมะเร็ง   อีกประเภทหนึ่ง คือ เซลล์ถูกเผาไหม้จนดีเอ็นเอในเซลล์เกิดความเสียหาย  จึงสร้างเซลล์ออกมาใหม่และไม่สมบูรณ์อาจมีหน้าตาผิดไปทำงานผิดเพี้ยน  เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่สามารถขจัดออกไปได้ในที่สุดก็ขยายตัวกลายเป็นมะเร็ง
            ภาวะร่างกายที่เย็นเกินเกิดขึ้นเพียงส่วนน้อยในคนเรา  มีเพียงไม่กี่สาเหตุ เช่นกินอาหารที่มีฤทธิ์เย็นมากติดๆ กันเป็นระยะเวลาหนึ่ง  โดยเฉพาะชนิดที่ให้โทษแ่ก่ร่างกาย เช่น ขนมหวาน เครื่องดื่มหวานเย็นมีกลิ่นหอม  ผักฤทธิ์เย็นไม่ผ่านไฟหรือกินข้าวมากเกินไป   เครียดจัด ทำให้เกิดภาวะร้อนก่อนและตีกลับเป็นเย็นเกิน  เชื่องช้าเฉื่อยชา  นอนนานๆ ร่างกายไม่ได้ใช้พลังงาน   อาการที่ฟ้องเช่น มึนศีรษะ  ตาแฉะ  ขี้ตาเยอะ  มีตุ่มหรือแผลในช่องปากด้านบนหรือโคนลิ้น ลิ้นเป็นฝ้าขาว  มือเท้าเย็น ตัวเย็น หน้าซีด เป็นเหน็บชา มีราตามตัวหรือเล็บ เป็นกลากเกลื้อนขาว  เป็นหวัดน้ำมูกใสแต่ไม่เจ็บคอ เสมหะไม่เหนียวข้นและอาจมีอาการไอ  ข้อติด ปวดข้อ ตะคริว โรครูมาตอยด์ นิ้วล็อก(กำมือไม่ค่อยลง)  ปัสสาวะใสอาจปริมาณมากและไม่อุ่น โลหิตจาง หน้ามืด วิงเวียนบ่อย   ปล่อยไว้นานๆ ไม่แก้ไขโรคที่อาจตามมาคือ มะเร็งและเนื้องอกที่เกิดจากภาวะเย็นเกิน  คอพอกชนิดธรรมดาที่เกิดจากการขาดไอโอดีน
            ในทุกวันนี้เราอยู่ท่ามกลางอาหารฤทธิ์ร้อนทั้งสิ้น เช่น อาหารรสจัดจ้านทุกชนิดทุกรส  กลุ่มโปรตีนสูงเส้นใยน้อย  อาหารใช้ความร้อนสูง ปรุงนาน  กลุ่มสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ร้อน กระชาย กะเพรา โหระพา แมงลัก กลุ่มหอมกระเทียม พริกไทย ผักที่มีกลิ่นฉุน  ผลไม้หวานจัด  มีวิตามินมากธาตุอาหารสูง  กลุ่มแป้งข้าวทั้งหลาย ขนมปัง ขนมกรุบกรอบ  โปรตีนเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งเห็ดโคน เห็ดหอม เห็ดหลินจือ ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วทอดทุกชนิด  เครื่องปรุงจากการหมักดองพวกเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว น้ำปลา ปลาร้า ฯลฯ  น้ำมันหมู วัว ไก่ น้ำัมันพืช น้ำมันรำข้าว ฯลฯ  น้ำร้อนจัดเช่น ชา กาแฟร้อนๆ  น้ำเย็นจัดและน้ำแข็ง  สมุนไพรและยาบำรุงเลือด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม เป็นต้น   เราจึงควรจัดสรรอาหารที่มีฤทธิ์เย็นมาช่วยดับร้อนผ่อนกระหายของร่างกาย  การทำกินเองในบ้านคืออาหารฤทธิ์เย็นอย่างแท้จริง  
            เราสามารถจัดการอาหารการกินให้ธาตุไฟในร่างกายเกิดความสมดุลได้โดยพิจารณาหรือใส่ใจอาการที่เกิดขึ้นในร่างกาย  ถ้าธาตุในร่างกายสมดุลเราจะรู้สึก เบาสบาย สดชื่น มีกำลัง และอารมณ์ดี   เราเสียเวลาหรือทุ่มเทเวลามากมายไปกับสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้มีผลดีกับสุขภาพเลย  ฉะนั้น เราควรแบ่งเวลามาทำอาหารฤทธิ์เย็นป้อนเซลล์ของร่างกายเพื่อรักษาสุขภาพเราบ้าง  อาจใช้หลักพรหมวิหาร 4 ช่วยดังนี้ 
            เมตตา  ต่อเซลล์ผู้ให้ชีวิตแก่เรา  ด้วยการมีสติในการกิน
            กรุณา   ต่อเซลล์ด้วยการทำอาหารฤทธิ์เย็นให้เซลล์กิน
            มุทิตา  ด้วยความยินดีเมื่อเซลล์เบิกบาน มีกำลัง
            อุเบกขา  ต่อเซลล์ด้วยการไม่ยินดียินร้ายกับอาหารที่ห้อมล้อมตัวเรามากมายอันเป็นอันตรายต่อเซลล์แห่งชีวิตเรา  นับเป็นความกตัญญูต่อเซลล์ที่ให้ร่างกาย อวัยวะต่างๆ แก่เราได้ใช้ประโยชน์   
            อาหารฤทธิ์เย็นมีคุณสมบัติเด่นชัดคือ ย่อยง่าย การสันดาปน้อย สารอาหารไม่มากมายจนเกินไป รสชาติอาหารไม่จัด  ไม่ทำให้เกิดความร้อนในร่างกายมากมาย  คุ้มครองเซลล์ทำให้เซลล์เย็นตัวลง ทำให้เกิดความสมดุลของธาตุไฟ  ทำให้สภาวะเลือดมีความเป็นด่างเล็กน้อย (pH7) ซึ่งมีคุณสมบัติดีมีคุณภาพดีที่สุด  ทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  ร่างกายจึงแข็งแรงทนต่อคลื่นความร้อนและโรคระบาดได้   เครื่องปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เย็นหรือพวกผักผลไม้ก็ต้องมีรสอ่อนหรือหวานเพียงเล็กน้อยจากธรรมชาติ มีเส้นใยสูง ให้พลังงานต่ำ  พืชผักประเภทที่มีเนื้อยุ่ย หลวมๆ ลักษณะเรียวบาง ชุ่มน้ำ อ่อนนุ่ม มีความสดคงทน สีอ่อนๆ เช่น ถั่วงอก น้ำเต้า ฟักแฟง  กินแล้วชุ่มคอไม่ระคายเคือง  ผักบุ้ง  ผักหวาน  บวบ  แตงต่างๆ  มะละกอดิบ  สายบัว หยวกกล้วย  กล้วยดิบ หัวปลี  ยอดฟักทั้งหลาย  ดอก ยอดและฝักมะรุม  หญ้าปักกิ่ง  มะเขือเทศ  กะหล่ำดอก  บร็อกโคลี่  กวางตุ้ง  ผักกาดขาว  หัวไขเท้า  ผักกาดทั้งหลาย  ใบเตย  รางจืด  ดอกขจร  ปวยเล้ง  ข้าวโพด  ดอกแค  ย่านาง  ใบมะขาม  ผักเหลียง  กระเจี๊ยบเขียว  มะเขือเปราะ  มะเขือยาว  มะม่วงดิบ(ไม่เปรี้ยวจัด)  ผักที่รสออกขม เช่น ใบบัวบก  มะเขือพวง  มะระจีน  มะระขี้นก  สะเดา  ผักอื่นที่มีรสออกขมเป็นผักฤทธิ์ร้อนที่มีฤทธิ์ในการดับร้อน  กินแต่พอดีตามที่ร่างกายรู้สึกเบาสบาย  ถ้ามากเกินไปก็มีโอกาสไม่สบายเนื้อตัวได้เช่นกัน   ส่วนพืชผักที่มีรสฝาดและเปรี้ยวจัด เช่น ตะลิงปลิง  มะปรางดิบ  มะขามป้อม  แม้จะมีฤทธิ์เย็น  แต่ถ้ากินมากเกินอาจตีกลับเป็นฤทธิ์ร้อนได้เช่นกัน  กลุ่มผลไม้ฤทธิ์เย็นได้แก่ มังคุด มะยม แตงโม แคนตาลูป สับปะรด ส้มโอ ส้มเช้ง กล้วยน้ำว้า(เพิ่งสุก) กล้วยหักมุก แก้วมังกร กระท้อน พุทรา สมอไทย ชมพู่ มะดัน มะขามดิบ น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว แอปเปิ้ล สาลี่ ลางสาด สตรอเบอรี่ ลูกไหน ลูกพรุน บลูเบอรี่ ลูกฟิกส์(มะเดื่อฝรั่ง) บ๊วย แอปพริคอต เนคตาลิน
            การกินเพื่อถนอมเซลล์สำหรับผลไม้นั้น ให้กินผลไม้รสเปรี้ยวก่อนแล้วจึงตามด้วยผลไม้หวาน  เพื่อชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากผลไม้หวานให้ค่อยๆ ซึมเข้ากระแสเลือดแต่พอดี  น้ำตาลในผลไม้ก็คือ น้ำตาลทั่วๆ ไปที่เรายังต้องระวังจำกัดปริมาณ   กลุ่มคาร์โบไฮเดรตฤทธิ์เย็น ได้แก่ เส้นขาวทั้งหลายถ้าให้ดีต้องเป็นเส้นที่ปราศจากน้ำมัน  วุ้นเส้น  ข้าวกล้อง  แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวสาลี
            อาหารกลุ่มนี้มีฤทธิ์เย็น ให้พลังงานความร้อนน้อย  ดูดซึมเร็ว  ร่างกายใช้ได้เร็วแต่ก็หมดเร็วเช่นกันเพราะเป็นกลุ่มอาหารที่ไม่ได้สารอาหารจำเป็นมากมาย  ดังนั้นในขบวนการสันดาปเพื่อเป็นพลังงานจึงต้องดึงเอาวิตามินแร่ธาตุอื่นในร่างกายมาใช้ร่วม   การกินอาหารแต่ประเภทนี้ไปนานๆ ร่างกายก็จะขาดวิตามิน แร่ธาตุและเส้นใยอาหาร  ฉะนั้นเมื่อร่างกายคลายร้อน ผ่อนโรคแล้ว  ควรกินข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้อง  วุ้นเส้นไม่ขัดขาว  เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือขนมจีนจากแป้งข้าวกล้องเพราะร่างกายจะได้ทั้งเส้นใยอาหารและสารอาหารมาก  ส่วนน้ำตาลนั้นเราได้อยู่ตลอดจากผลไม้และอาหารโดยทั่วไปแล้ว  ซึ่งร่างกายเราต้องการเพียง 5 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น
             โปรตีนมีคุณสมบัติที่ร่างกายนำไปแปลงเป็นไกลโคเจนเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองส่วนหนึ่ง  อีกส่วนทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเนื้อเยื่อ  การย่อยโปรตีนจะใช้พลังงานในการสันดาปสูงมากจึงทำให้มีฤทธิ์ร้อนเป็นส่วนใหญ่  เฉพาะเห็ดและถั่วบางชนิดเท่านั้นที่ให้ฤทธิ์เย็น คือ ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วทอง ถั่วเหลือง เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนูขาวและดำ เห็ดลม เห็ดขอนขาว  รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเช่น เต้าหู้ทุกชนิด น้ำเต้าหู้(รวมทั้งเครื่องด้วย) ฟองเต้าหู้  นอกจากข้างต้นแล้วยังมี ลูกสำรอง น้ำนมข้าวโพด น้ำเก๊กฮวย น้ำใบเตย   เครื่องปรุงก็ต้องสดจากธรรมชาติตามฤดูกาลให้มากที่สุด  มะนาว ส้มจี๊ด ส้มซ่า มะกรูด มะขามเปียก มะขามอ่อน เกลือสมุทร ซีอิ๊วอนุโลมเฉพาะน้ำแรก(สูตร 1) และใช้ร่วมกับเกลือ   นอกจากนี้ควรใส่ใจการล้างสารเคมีที่ติดมากับผักผลไม้  การปรุงใช้ไฟอ่อนถึงปานกลางให้สุกพอดีไม่เปื่อยหรือเละ  ไม่ควรอุ่นซ้ำๆ  เป็นการปรุงขั้นตอนเดียว  ไม่ใช่ทอดแล้วนำไปผัดหรือต้มแล้วผัด   4 ประการหลังนี้จะทำให้กลายเป็นอาหารฤทธิ์ร้อนไป
             การกินอาหารฤทธิ์เย็นเพื่อความสมดุลของร่างกายยังมีประโยชน์อีกคือ
             - สามารถขับสารพิษที่สะสมในร่างกายมานานแสนนานออกไปได้
             - สามารถซ่อมบำรุงอวัยวะต่างๆ ที่ชำรุดทรุดโทรมจากความร้อนและสภาวะแวดล้อมรอบตัว
             - สามารถดึงความเป็นหนุ่มสาวกลับมาให้เราได้ด้วยอาการเบากาย มีกำลังวังชา รู้สึกแข็งแรงและสดชื่น
             - สามารถเยียวยารักษาโรคต่างๆ ที่ฝังอยู่ในร่างกาย ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวอีกหลายอาการ
             - ทำให้เลือดอยู่ในสภาวะด่างอ่อนๆ ทำให้เลือดมีประสิทธิภาพในการบำรุงร่างกาย รักษาและป้องกันโรค ขับพิษในร่างกายทั้งที่มาจากอาหาร จากอารมณ์ จากซากเซลล์และจุลินทรีย์ที่ตายแล้วออกจากระบบต่างๆ ของร่างกาย 
            นอกจากนี้ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืนเพื่อลดภาระในการย่อยของร่างกาย  และร่างกายยังดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มที่และรวดเร็ว  
            การดื่มน้ำเช่นกัน การดื่มน้ำที่ดีควรดื่มก่อนกินอาหารและหลังอาหารไปแล้ว 1/2-2 ชั่วโมง  เพราะเมื่อกินอาหารเสร็จร่างกายต้องการธาตุไฟ(ความร้อน) เพื่อย่อยอาหาร  ต้องการความเข้มข้นของน้ำย่อย  ต้องการช่องว่างสำหรับปราณหรือเอนไซม์ทำการย่อย   การดื่มน้ำระหว่างมื้อที่เรียกว่าข้าวคำน้ำคำหรือดื่มปริมาณเป็นแก้วหลังอาหารทันทีจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง  น้ำมีฤทธิ์เย็นไปลดธาตุไฟที่กำลังย่อยอาหารทำให้ย่อยได้ไม่เต็มที่  สร้างภาระให้ร่างกายทำให้อึดอัดอีกนาน  ถ้ากระหายน้ำจริงๆ ควรดื่มก่อนมื้ออาหาร   ถ้าเกิดจากอาการไม่สบายหรืออาหารรสจัดระหว่างมื้ออาจจะแค่จิบแล้วเว้นช่วงครึ่งชั่วโมงไปแล้วค่อยดื่มเพิ่ม   
            น้ำดื่มที่ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิห้องหรือเย็นเล็กน้อยจากตู้เย็น  ไม่ใช่เย็นเจี๊ยบจากน้ำแข็ง  ความเย็นที่เกินพอดีของร่างกายส่งผลร้ายให้ร่างกายยิ่งร้อนมากขึ้น  และน้ำที่ดีที่สุดต้องไม่ผ่านไฟ  รองลงมาเป็นน้ำคั้นสมุนไพรฤทธิ์เย็น  และน้ำต้มสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่ต้มแต่พอดีด้วยไฟกลางค่อนข้างอ่อน
            ลำดับของการกินอาหารนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างมาก คือ กินอาหารที่ย่อยง่ายไปสู่อาหารที่ย่อยยากกว่า  อาหารที่ย่อยง่ายร่างกายจะดูดซึมได้เร็ว สารอาหารเข้ากระแสเลือดได้เร็ว เป็นการกระตุ้นหรือวอร์มอัพให้ร่างกายได้ตื่นตัวเพื่อทำงานในทุกระบบทุกอวัยวะ  โดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ตับ ตับอ่อน เป็นต้น  เป็นการถนอมเซลล์  ลดภาระของกระเพาะอาหาร  ระบบย่อยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้กินได้อย่างปริมาณพอประมาณ  ลำดับการย่อยง่ายไปยากมีดังนี้
             1. น้ำ
             2. น้ำคลอโรฟิลล์ จากธรรมชาติใหม่สด  คั้นจากผักสดฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ใบย่านาง ใบเตย ใบบัวบก หญ้าปักกิ่ง เป็นต้น  
             3. ผลไม้สด มีเทคนิคเพื่อสุขภาพคือ กินผลไม้เปรี้ยวอมหวานก่อนจึงตามด้วยผลไม้รสหวาน
             4. ผักสด มีเส้นใยอาหารมากกว่าผลไม้มากทั้งผักสดและผักปรุงสุก
             5. ข้าวและกับข้าว
             6. ถั่วต้ม
             7. แกงจืด มีภาวะการย่อยเช่นเดียวกับกับข้าวแต่เพราะมีน้ำเยอะและผ่านไฟนานกว่าจึงเหมาะกับการปิดท้ายหากอยากซดน้ำแกงให้คล่องคอขณะกินข้าว  แต่กรณีร้อนอบอ้าวอาจซดน้ำแกงก่อนกินข้าวก็ได้
             คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสผลจากการกินอาหารฤทธิ์เย็น  ในคนปกติ ควรกินให้ได้ 3-5 วันติดต่อกันในช่วงเริ่มต้น  เพราะร่างกายจะมีปฏิกิริยากับอาหารฤทธิ์เย็นภายใน 1-3 วัน  จากนั้นก็หย่อนผ่อนตามสภาพจิตและความสบายของกาย  อาจกินเป็นอาหารฤทธิ์เย็นวันเว้นวัน หรือมื้อเว้นมื้อตามต้องการ   ส่วนคนป่วยที่มีอาการจากความร้อนในร่างกายมากเกินหรือธาตุไฟกำเริบนั้น ควรกินมากมื้อขึ้นจนรู้สึกสบายกายมากขึ้น  พยายามเคร่งครัดและกินตามลำดับที่แนะนำ  มื้อเย็นควรงดโปรตีนและไขมัน  หากงดมื้อเย็นไม่ได้ในกินน้อยๆ เบาๆ  อย่านอนดึก  ตื่นแต่เช้า  ออกกำลังสม่ำเสมอ   ระยะเวลากินที่ได้ผลต่อการบำบัดผ่อนโรค ทุเลาอาการอย่างน้อย 3 เดือน  ซึ่งเซลล์ต่างๆ ตายทุกวัน เกิดทุกวัน  เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือนก็จะมีเซลล์ที่เกิดใหม่ที่แข็งแรงด้วยอาหารฤทธิ์เย็นจำนวนมาก  ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
             การอดกลั้นการกินอาหารที่อยากมากๆ ก่อให้เกิดความตึงเครียดต่อจิตใจได้  ฉะนั้นต้องไม่เป็นการฝืนใจนัก  ให้กินตามใจปากเสียบ้าง เพราะว่า
    "ความเครียดของจิตใจก่อพิษร้าย
                                                 มากกว่าพิษของอาหารแสลง"
            นี่เป็นเพียงความรู้บางส่วนที่ได้จากการหาทางปรับตัวกับอาการร้อนสุดๆ ในเดือนที่ร้อนที่สุดขณะนี้ผู้สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก
           "อาหารฤทธิ์เย็น" แนวธรรมชาิติบำบัดปรับสมดุล รักษาโรค  สำนักพิมพ์แสงแดด


 
Plantilla Minima modificada por Urworstenemy