แม่เสือซูซี่
นี่เป็นจดหมายรักที่คุณครูชั้นประถมปีที่สองท่านหนึ่งยึดมาจากนักเรียนแล้วส่งให้พ่อแม่ของนักเรียนคนนั้น ซึ่งส่งมาให้ผมอีกทอดหนึ่งในภายหลัง
บิลลี่จ๋า ถ้าตัวไม่บอกรักเค้าและไม่เดินไปส่งเค้าที่ป้ายรถละก็
เค้าจะฆ่าตัวตายและจะทุบตัวให้หายแค้น เค้ารักตัว อยากแต่งงาน
กับตัวเร็วๆ
ซูซี่
แม่หนูคนนั้นอายุแค่ 8 ขวบ ตอนที่ผมได้รับจดหมายฉบับนี้จากพ่อแม่ของเธอ เธออายุ 24 ปีแล้ว ที่โต๊ะอาหารช่วงเตรียมงานหนึ่งวันก่อนซูซี่จะเข้าพิธีแต่งงานกับบิลลี่ ผมเอาจดหมายให้แขกที่มาซักซ้อมในพิธีอ่าน ขณะซ้อมการให้คำปฏิญาณ ผมบอกให้ซูซี่พูดตามว่า
"ข้าพเจ้า นางสาวซูซี่ ขอให้สัญญากับนายบิลลี่ว่าจะไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาด และจะไม่ทุบตีทำร้ายเขาด้วย"
หากชีวิตคู่ยืนยาวเท่ากับความรักของซูซี่ และความรักของเธอยิ่งใหญ่เท่ากับเสียงหัวเราะในระหว่างพิธีแต่งงานวันนั้น ผมพนันได้เลยว่าสามีภรรยาคู่นี้จะต้องครองรักกันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร
สาธุคุณท่านหนึ่ง
เมืองเบลล์วิว รัฐวอชิงตัน
ดี.เอช. ลอว์เรนซ์
(แห่งอาระเบีย)
ตอนที่ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 3 ผมเลือกเรียนวิชาศึกษางานของ ดี.เอช. ลอว์เรนซ์ ผมไปร้านหนังสือมือสองและต้องแปลกใจกับงานเขียนที่ไม่คุ้นหู เช่น เดอะเรนโบว์ (The Rainbow), วูแมนอินเลิฟ (Woman in Love), ซันส์แอนด์เลิฟเวอร์ส (Sons and Lovers) และเลดี้ แชตเตอร์เลย์ส เลิฟเวอร์ (Lady Chatterley's Lover)
ผมคิดเหมือนนักศึกษาหลายคนที่ซื้อหนังสือใช้แล้ว เพราะหวังว่าคนที่เคยใช้มาก่อนจะขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญไว้ ที่ผมซื้อก็ขีดเส้นเต็มไปหมด เมื่อพลิกดูและอ่านบางย่อหน้าพอให้รู้เรื่องก็ชักติดใจ คิดเลยเถิดไปว่านักศึกษาหญิงคนไหนที่เรียนวิชานี้ต้องถูกสเป็คผมแน่ หนังสือทุกเล่มที่ผมซื้อมีชื่อผู้หญิงคนเดียวกันเขียนไว้บนปก เธอขีดเส้นใต้ได้เจ๋งมาก ทั้งที่เป็นตอนเด็ดๆ และข้อความอันงดงามเกี่ยวกับความรัก ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับเซ็กซ์
ผมค้นหาที่อยู่ของเธอจากสมุดโทรศัพท์จนเจอ และเสี่ยงโทรถึงเธอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังจะได้นัดไปเที่ยวกับเธอหรืออาจได้รายงานที่เธอเขียนเกี่ยวกับนายคนนี้ หนุ่มนักศึกษามักรอบจัดแบบนี้ ผมโทรถึงเธอ แนะนำตัวเองพร้อมกับบอกความต้องการ โอ้โฮเฮะ ! เธอไม่ใช่สาวนักศึกษา แ่ต่เป็นอาจารย์สอนวิชาวรรณกรรมอังกฤษที่เกษียณแล้ว
เธอหัวเราะ บอกว่ายินดีนัดพบผมและช่วยอธิบายเกี่ยวกับนายลอว์เรนซ์ พร้อมทั้งบอกเคล็ดลับให้สอบผ่านวิชานั้น
เราถูกคอกันทันที เธออยู่ตามลำพังและมีปัญหาสายตา เธอยื่นข้อเสนอให้ผมช่วยขับรถพาเธอไปซูเปอร์มาร์เก็ตอาทิตย์ละครั้ง เธอจะช่วยติววิชานายลอว์เรนซ์ให้ผม
ตลอดเทอมนั้นเธอสอนผมเกี่ยวกับความรัก เซ็กซ์และผู้หญิง ผมไปมาหาสู่เธอนานพอสมควร เธอทำให้ผมเป็นผู้ชายที่ดีขึ้นกว่าเดิม
หลายปีต่อมา ผมบอกเธอว่าผมจะขอเธอแต่งงานถ้าเธออายุยี่สิบ แทนที่จะเป็นเจ็ดสิบ เธอบอกว่าเธอก็จะตกปากรับคำแน่นอน ตอนนี้เธอเสียชีวิตไปแล้ว ผมยังเก็บหนังสือของเธอไว้รวมทั้งความปราดเปรื่องและความรักตามแบบของเธอ ผมได้เกรดเอในวิชานั้นด้วย
อ่านเรื่องเต็มได้จาก True Love, Robert Fulghum
รักแท้ แปลและเรียบเรียงโดย สมพร วรรธนะสาร-วาร์นาโด
วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
True Love รักแท้
คุณแม่อายุ 45 ปี ดิฉันอายุ 25 ปี คุณแม่กับคุณพ่อแต่งงานกันและมีดิฉันตั้งแต่ท่านยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ท่านครองคู่กันอย่างมีความสุข
เมื่อ 2-3 ปีก่อน ในโอกาสวันคืนสู่เหย้าปีที่ 25 ของโรงเรียนมัธยมที่ท่านเคยเรียน คุณแม่รื้อเอาหนังสือที่ระลึกรุ่นและของที่ระลึกที่ท่านสะสมออกมาให้ดิฉันดู ดิฉันประหลาดใจมากที่เมื่อคุณแม่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับดิฉันท่านช่างเหมือนกับดิฉันเหลือเกิน ขณะที่เรากำลังดูหนังสือรุ่นกันอยู่นั้น คุณแม่น้ำตาคลอเมื่อเจอรูปเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาชื่อเบนนี่ ท่านเคยควงกับเขาอยู่ 3 ปี
ทั้งคู่รักกันปานจะกลืน แต่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วยเนื่องจากเบนนี่มีเชื้อสายยิว ส่วนครอบครัวคุณแม่นับถือคริสต์นิกายแบ๊พติสต์ ทั้งสองเคยคิดจะหนีตามกัน หรือไม่ก็แอบได้เสียและแต่งงานกันโดยพลการ หรืออย่างน้อยก็พยายามจะไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ผู้ใหญ่ก็จับท่านแยกกัน โดยต่างฝ่ายต่างส่งลูกไปเรียนคนละมุมของประเทศ พวกเขาได้พยายามติดต่อกันแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งคุณแม่มาตกหลุมรักคุณพ่อ ส่วนเบนนี่ก็เข้าเรียนแพทย์ พอเรียนจบก็ไปเป็นศัลยแพทย์ประจำกองทัพอากาศ
ทั้งสองเจอกันในวันคืนสู่เหย้า ดิฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร คุณแม่ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเธอรู้สึกอย่างไรเมื่อได้เจอเขาอีก ดิฉันรู้เพียงว่าเขายังเป็นโสด
ปีที่แล้วคุณแม่จัดงานเลี้ยงและเชิญให้ดิฉันไปร่วมเพื่อจะได้พบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมของท่านบางคน เมื่อก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น ดิฉันเห็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งนั่งอยู่ ไม่เคยเห็นใครหล่อเท่านี้มาก่อนในชีวิต สูง หล่อ ผิวเข้มอีกต่างหาก เข้าสูตรชายในฝันเลยเชียว
คุณแม่แนะนำเขากับดิฉันว่าเขาคือ นายแพทย์เบนจามิน... เขาคือเบนนี่ คนรักในอดีตของท่านนั่นเอง มันเป็นรักแรกพบของเขากับดิฉัน เรามีความสัมพันธ์หวานชื่นต่อกันมาก
ตอนแรกเราเก็บเป็นความลับ มันเหลือเชื่อจริงๆ เราพากันไปพบจิตแพทย์และผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตคู่ ดิฉันต้องการรู้แน่ว่าเขารักดิฉันจริงๆ ไม่ใช่เพราะรักคุณแม่ของดิฉัน ในที่สุดเราก็ตกลงใจแต่งงานกัน เราบอกเรื่องนี้แก่ครอบครัวของเขาเป็นอันดับแรก พวกเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องพรหมลิขิตโดยแท้
เมื่อเราบอกเรื่องนี้แก่คุณแม่ของดิฉัน ท่านถึงกับร้องไห้แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะชนิดกลั้นความปิติยินดีไว้ไม่อยู่ ทั้งคุณพ่อและุคุณแม่โล่งใจที่เรื่องลงเอยแบบนี้...
เอส.เอฟ.จี.
หลุยส์วิลล์ เคนทักกี
“We’re all a little weird. And life is a little weird. And when we find someone whose weirdness is compatible with ours, we join up with them and fall into mutually satisfying weirdness—and call it love—true love.”
― Robert Fulghum, True Love
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ไปงานเต้นรำวันศุกร์หรรษากับวงดนตรีวงใหญ่งานหนึ่งที่ซีแอตเติล คู่เต้นรำหลายร้อยคู่ออกมาวาดลวดลายทั้งในจังหวะวอลตซ์ จังหวะธรรมดา รวมทั้งฟอกซ์ทรอต... ฟากหนึ่งของฟลอร์เป็นคู่ตายายชาวเอเชียแต่งตัวเกือบเป็นฝาแฝดกันในชุดกางเกงสีกากี เสื้อเชิ้ตตาหมากรุก รองเท้าเทนนิส กอดกันราวกับเถาวัลย์ พวกไม่เชิงเต้นรำ แค่เอนหัวไปตามจังหวะดนตรี นี่ก็พิลึก หันไปทางไหนล้วนแต่เป็นคู่รักที่ดูพิลึกๆ หาคู่รักที่เฉิดฉายน่าประทับใจไม่ได้เลย แล้วไง มันสำคัญอะไรล่ะ
คุณอยากรู้ว่าผมคิดยังไงใช่ไหม ผมคิดว่าเราล้วนมีอะไรแปลกๆ กันทุกคน เมื่อพบคนที่มีความประหลาดที่เข้ากับเราได้ เราก็ร่วมวงไปกับเขา ในที่สุดก็พึงพอใจในความพิลึกของกันและกัน แล้วเรียกมันว่า รัก -- " รักแท้ "
โรเบิร์ต ฟูลกัม
เล่าเรื่องความรักสู่กันฟังสักเรื่องสิครับ เอาเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณจริงๆ ไม่ใช่ที่อ่านพบหรือได้ยินได้ฟังมาจากที่อื่น...
... ผมได้รับจดหมายจากคนอายุตั้งแต่แปดขวบถึงแปดสิบจากทั่วสารทิศ ทั้งชาย หญิง และผู้นิยมไม้ป่าเดียวกัน คนฉลาดเฉลียวและคนทึ่มสุดๆ... ตอนแรกผมคิดว่าคงจะมีแต่เรื่องหวานมันหนึบหนับเหมือนท็อฟฟี่ เรื่องรักประเภทนกน้อยสีฟ้ากับสายรุ้ง แต่กลับได้พบความแปลกใจที่ขมปี๋เหมือนดีเกลือ กลับได้ฟังเรื่องรักแบบพายุสลาตันระคนด้วยฟ้าผ่า..
แค่จดหมายยังไม่ถึงใจ ผมจึงเสาะแสวงหาเรื่องรักโดยใช้วิธีแขวนป้ายไว้ตามร้านกาแฟหรือบาร์ ตลอดจนงานเทศกาลต่างๆ ในเมืองซีแอตเติลว่า เชิญมาเล่าเรื่องความรักของคุณให้ผมฟัง ผมยินดีตอบแทนด้วยการเลี้ยงกาแฟและอาจทำให้คุณมีชื่อเีสียงได้ ปรากฏว่ามีคนสนใจมากทีเดียว...
ในระยะแรก การจะให้คนเปิดใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นปัญหาพอสมควร ผู้เล่ามักมีอาการเก้อเขินและออกตัวว่าเรื่องออกจะยืดยาวไม่หวานแหววเท่าไหร่ แต่พอได้รับกำลังใจก็ยอมเล่า บางครั้งผู้ฟังถึงกับยืนขึ้นปรบมือให้แก่ผู้เล่า ทำให้มีคนเข้ามาสมทบมากขึ้น มีคนตะโกนถามว่า "ท ำอะไรกันน่ะ "
" อ๋อ ต้องการเรื่องจริงเกี่ยวกับความรักงั้นรึ " " ฉันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณคิดว่าเหลือเชื่อ " แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แปลกสิ้นดี ที่ความไม่น่าเชื่อนั้นกลับทำให้เรื่องน่าเชื่อ หากความจริงแปลกกว่านิยายได้ ความรักก็ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก การยุติเล่าเรื่องความรักแต่ละเรื่องดูจะยากยิ่งกว่าการพยายามยุให้พวกเขาเริ่มต้นเล่าเสียอีก เป็นประสบการณ์ที่เราทุกคนเคยพบและอาจเกิดขึ้นอีก
เรื่องที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่จะเล่าต่อมา คือ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งฟังชายหนุ่มเล่าถึงความรักที่ถูกผลักไสไร้เยื่อใยไมตรีอย่างเพลิดเพลิน พอเขาเล่าจบ เธอบอกว่าไม่มีวันที่เธอจะปฏิเสธผู้ชายที่มีความรู้สึกกับความรักแบบนั้น ชายหนุ่มจึงขอฟังเรื่องของเธอบ้าง ตอนที่ผมจากมาคนทั้งคู่ยังคุยกันต่อ จะเกิดอะไรต่อจากนั้น ในความรักทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ
สุภาพบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นซองจดหมายสีฟ้าให้ผมฉบับหนึ่ง พร้อมบอกว่า "ก่อนอ่านจดหมายฉบับนี้ ผมอยากให้คุณทราบด้วยว่าผมเก็บมันมานานนับสิบปีแล้ว เป็นจดหมายจากภรรยาซึ่งผมได้แต่งงานอยู่กินกันมาจนบัดนี้" จดหมายมีข้อความเขียนด้วยปากกาว่า
แฮร์รี่สุดที่รัก
ฉันเกลียดคุณ เกลียดคุณ เกลียดคุณ
ด้วยความรักและนับถือเป็นที่สุด
เอ็ดน่า
ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา นึกเดาเรื่องที่เหลือได้โดยตลอด...
หลายเรื่องเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายแต่จบลงชนิดคาดไม่ถึง จนบางครั้งคุณอดถามไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่หรือ ผมเชื่อว่าจริง เพราะผมรู้เรื่องเกี่ยวกับรักแท้มามากจนไม่อาจโต้แย้งได้ ทุกสิ่งที่กล่าวเกี่ยวกับความรักเป็นความจริง แม้จะไม่จริงกับทุกคนในคราวเดียวกันแต่ก็เป็นเรื่องจริงสำหรับใครบางคน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ในกาลครั้งหนึ่ง ความรักเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่และอาจเป็นขยะกองใหญ่... และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตมีค่าน่าอยู่...
อ่านเรื่องเต็มได้จาก True Love, Robert Fulghum
รักแท้ แปลและเรียบเรียงโดย สมพร วรรธนะสาร วาร์นาโด
คุณแม่อายุ 45 ปี ดิฉันอายุ 25 ปี คุณแม่กับคุณพ่อแต่งงานกันและมีดิฉันตั้งแต่ท่านยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ท่านครองคู่กันอย่างมีความสุข
เมื่อ 2-3 ปีก่อน ในโอกาสวันคืนสู่เหย้าปีที่ 25 ของโรงเรียนมัธยมที่ท่านเคยเรียน คุณแม่รื้อเอาหนังสือที่ระลึกรุ่นและของที่ระลึกที่ท่านสะสมออกมาให้ดิฉันดู ดิฉันประหลาดใจมากที่เมื่อคุณแม่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับดิฉันท่านช่างเหมือนกับดิฉันเหลือเกิน ขณะที่เรากำลังดูหนังสือรุ่นกันอยู่นั้น คุณแม่น้ำตาคลอเมื่อเจอรูปเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาชื่อเบนนี่ ท่านเคยควงกับเขาอยู่ 3 ปี
ทั้งคู่รักกันปานจะกลืน แต่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วยเนื่องจากเบนนี่มีเชื้อสายยิว ส่วนครอบครัวคุณแม่นับถือคริสต์นิกายแบ๊พติสต์ ทั้งสองเคยคิดจะหนีตามกัน หรือไม่ก็แอบได้เสียและแต่งงานกันโดยพลการ หรืออย่างน้อยก็พยายามจะไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ผู้ใหญ่ก็จับท่านแยกกัน โดยต่างฝ่ายต่างส่งลูกไปเรียนคนละมุมของประเทศ พวกเขาได้พยายามติดต่อกันแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งคุณแม่มาตกหลุมรักคุณพ่อ ส่วนเบนนี่ก็เข้าเรียนแพทย์ พอเรียนจบก็ไปเป็นศัลยแพทย์ประจำกองทัพอากาศ
ทั้งสองเจอกันในวันคืนสู่เหย้า ดิฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร คุณแม่ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเธอรู้สึกอย่างไรเมื่อได้เจอเขาอีก ดิฉันรู้เพียงว่าเขายังเป็นโสด
ปีที่แล้วคุณแม่จัดงานเลี้ยงและเชิญให้ดิฉันไปร่วมเพื่อจะได้พบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมของท่านบางคน เมื่อก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น ดิฉันเห็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งนั่งอยู่ ไม่เคยเห็นใครหล่อเท่านี้มาก่อนในชีวิต สูง หล่อ ผิวเข้มอีกต่างหาก เข้าสูตรชายในฝันเลยเชียว
คุณแม่แนะนำเขากับดิฉันว่าเขาคือ นายแพทย์เบนจามิน... เขาคือเบนนี่ คนรักในอดีตของท่านนั่นเอง มันเป็นรักแรกพบของเขากับดิฉัน เรามีความสัมพันธ์หวานชื่นต่อกันมาก
ตอนแรกเราเก็บเป็นความลับ มันเหลือเชื่อจริงๆ เราพากันไปพบจิตแพทย์และผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตคู่ ดิฉันต้องการรู้แน่ว่าเขารักดิฉันจริงๆ ไม่ใช่เพราะรักคุณแม่ของดิฉัน ในที่สุดเราก็ตกลงใจแต่งงานกัน เราบอกเรื่องนี้แก่ครอบครัวของเขาเป็นอันดับแรก พวกเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องพรหมลิขิตโดยแท้
เมื่อเราบอกเรื่องนี้แก่คุณแม่ของดิฉัน ท่านถึงกับร้องไห้แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะชนิดกลั้นความปิติยินดีไว้ไม่อยู่ ทั้งคุณพ่อและุคุณแม่โล่งใจที่เรื่องลงเอยแบบนี้...
เอส.เอฟ.จี.
หลุยส์วิลล์ เคนทักกี
“We’re all a little weird. And life is a little weird. And when we find someone whose weirdness is compatible with ours, we join up with them and fall into mutually satisfying weirdness—and call it love—true love.”
― Robert Fulghum, True Love
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ไปงานเต้นรำวันศุกร์หรรษากับวงดนตรีวงใหญ่งานหนึ่งที่ซีแอตเติล คู่เต้นรำหลายร้อยคู่ออกมาวาดลวดลายทั้งในจังหวะวอลตซ์ จังหวะธรรมดา รวมทั้งฟอกซ์ทรอต... ฟากหนึ่งของฟลอร์เป็นคู่ตายายชาวเอเชียแต่งตัวเกือบเป็นฝาแฝดกันในชุดกางเกงสีกากี เสื้อเชิ้ตตาหมากรุก รองเท้าเทนนิส กอดกันราวกับเถาวัลย์ พวกไม่เชิงเต้นรำ แค่เอนหัวไปตามจังหวะดนตรี นี่ก็พิลึก หันไปทางไหนล้วนแต่เป็นคู่รักที่ดูพิลึกๆ หาคู่รักที่เฉิดฉายน่าประทับใจไม่ได้เลย แล้วไง มันสำคัญอะไรล่ะ
คุณอยากรู้ว่าผมคิดยังไงใช่ไหม ผมคิดว่าเราล้วนมีอะไรแปลกๆ กันทุกคน เมื่อพบคนที่มีความประหลาดที่เข้ากับเราได้ เราก็ร่วมวงไปกับเขา ในที่สุดก็พึงพอใจในความพิลึกของกันและกัน แล้วเรียกมันว่า รัก -- " รักแท้ "
โรเบิร์ต ฟูลกัม
เล่าเรื่องความรักสู่กันฟังสักเรื่องสิครับ เอาเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณจริงๆ ไม่ใช่ที่อ่านพบหรือได้ยินได้ฟังมาจากที่อื่น...
... ผมได้รับจดหมายจากคนอายุตั้งแต่แปดขวบถึงแปดสิบจากทั่วสารทิศ ทั้งชาย หญิง และผู้นิยมไม้ป่าเดียวกัน คนฉลาดเฉลียวและคนทึ่มสุดๆ... ตอนแรกผมคิดว่าคงจะมีแต่เรื่องหวานมันหนึบหนับเหมือนท็อฟฟี่ เรื่องรักประเภทนกน้อยสีฟ้ากับสายรุ้ง แต่กลับได้พบความแปลกใจที่ขมปี๋เหมือนดีเกลือ กลับได้ฟังเรื่องรักแบบพายุสลาตันระคนด้วยฟ้าผ่า..
แค่จดหมายยังไม่ถึงใจ ผมจึงเสาะแสวงหาเรื่องรักโดยใช้วิธีแขวนป้ายไว้ตามร้านกาแฟหรือบาร์ ตลอดจนงานเทศกาลต่างๆ ในเมืองซีแอตเติลว่า เชิญมาเล่าเรื่องความรักของคุณให้ผมฟัง ผมยินดีตอบแทนด้วยการเลี้ยงกาแฟและอาจทำให้คุณมีชื่อเีสียงได้ ปรากฏว่ามีคนสนใจมากทีเดียว...
ในระยะแรก การจะให้คนเปิดใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นปัญหาพอสมควร ผู้เล่ามักมีอาการเก้อเขินและออกตัวว่าเรื่องออกจะยืดยาวไม่หวานแหววเท่าไหร่ แต่พอได้รับกำลังใจก็ยอมเล่า บางครั้งผู้ฟังถึงกับยืนขึ้นปรบมือให้แก่ผู้เล่า ทำให้มีคนเข้ามาสมทบมากขึ้น มีคนตะโกนถามว่า "ท ำอะไรกันน่ะ "
" อ๋อ ต้องการเรื่องจริงเกี่ยวกับความรักงั้นรึ " " ฉันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณคิดว่าเหลือเชื่อ " แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แปลกสิ้นดี ที่ความไม่น่าเชื่อนั้นกลับทำให้เรื่องน่าเชื่อ หากความจริงแปลกกว่านิยายได้ ความรักก็ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก การยุติเล่าเรื่องความรักแต่ละเรื่องดูจะยากยิ่งกว่าการพยายามยุให้พวกเขาเริ่มต้นเล่าเสียอีก เป็นประสบการณ์ที่เราทุกคนเคยพบและอาจเกิดขึ้นอีก
เรื่องที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่จะเล่าต่อมา คือ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งฟังชายหนุ่มเล่าถึงความรักที่ถูกผลักไสไร้เยื่อใยไมตรีอย่างเพลิดเพลิน พอเขาเล่าจบ เธอบอกว่าไม่มีวันที่เธอจะปฏิเสธผู้ชายที่มีความรู้สึกกับความรักแบบนั้น ชายหนุ่มจึงขอฟังเรื่องของเธอบ้าง ตอนที่ผมจากมาคนทั้งคู่ยังคุยกันต่อ จะเกิดอะไรต่อจากนั้น ในความรักทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ
สุภาพบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นซองจดหมายสีฟ้าให้ผมฉบับหนึ่ง พร้อมบอกว่า "ก่อนอ่านจดหมายฉบับนี้ ผมอยากให้คุณทราบด้วยว่าผมเก็บมันมานานนับสิบปีแล้ว เป็นจดหมายจากภรรยาซึ่งผมได้แต่งงานอยู่กินกันมาจนบัดนี้" จดหมายมีข้อความเขียนด้วยปากกาว่า
แฮร์รี่สุดที่รัก
ฉันเกลียดคุณ เกลียดคุณ เกลียดคุณ
ด้วยความรักและนับถือเป็นที่สุด
เอ็ดน่า
ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา นึกเดาเรื่องที่เหลือได้โดยตลอด...
หลายเรื่องเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายแต่จบลงชนิดคาดไม่ถึง จนบางครั้งคุณอดถามไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่หรือ ผมเชื่อว่าจริง เพราะผมรู้เรื่องเกี่ยวกับรักแท้มามากจนไม่อาจโต้แย้งได้ ทุกสิ่งที่กล่าวเกี่ยวกับความรักเป็นความจริง แม้จะไม่จริงกับทุกคนในคราวเดียวกันแต่ก็เป็นเรื่องจริงสำหรับใครบางคน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ในกาลครั้งหนึ่ง ความรักเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่และอาจเป็นขยะกองใหญ่... และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตมีค่าน่าอยู่...
อ่านเรื่องเต็มได้จาก True Love, Robert Fulghum
รักแท้ แปลและเรียบเรียงโดย สมพร วรรธนะสาร วาร์นาโด
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
SPELT สเป้ลท์
(Dinkel wheat or hulled wheat)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Triticum aestivum subsp. spelta
Spelt เป็นพืชดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งที่เกือบสูญพันธุ์ไป เครือญาติเดียวกับข้าวสาลีแต่เก่าแก่กว่าในพืชสกุลเดียวกัน สเป้ลท์เป็นสายพันธุ์ย่อย (subspecies) หนึ่งของข้าวสาลี หน้าตาคล้ายต้นข้าวสาลี แป้งที่ป่นได้ลักษณะเดียวกับแป้งสาลีทั่วไปแต่สีไม่ขาวเท่าและมีความหยาบมากกว่า หากแต่ให้คุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะแบบไม่ขัดสี (โฮลมีลWhole meal) และไม่ขัดขาว (Unbleached)
ในปัจจุบันจึงกลับมาเป็นที่นิยมในกระแสอาหารสุขภาพ ขนมที่ทำมาจากแป้งชนิดนี้จะออกสีไม่ขาวนวลสวยเหมือนแป้งสาลีทั่วไปแต่ให้คุณค่าทางอาหารสูงกว่าและไม่ทำลายสุขภาพเหมือนแป้งสาลีขัดสีขัดขาวทั่วไปที่นุ่มละลายในปาก ผู้ผลิตบางรายเชื่อว่าสเป้ลท์มีคุณค่ามากกว่าข้าวสาลีทั่วไปแม้จะนำมาขัดสีเพื่อให้แป้งและขนมที่ได้สีสวยขึ้นนุ่มขึ้นเพื่อให้บริโภคได้ง่ายและมากปริมาณ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 8,000 ปีก่อน เชื่อว่า สเป้ลท์อาจเป็นข้าวสาลีพันธุ์ผสมของ emmer wheat และ Aegilops ความจริงคนโบราณปลูกสเปลท์เป็นแหล่งอาหารเหมือนข้าวสาลีในบางส่วนในยุโรป แอฟริกาและทางเหนือของตุรกี จอร์เจีย หลักฐานบางส่วนที่ค้นพบเืมื่อ 5,000 ปีก่อนคริสต์กลาง สันนิษฐานว่าเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง emmer wheat กับ bread wheat แต่สเปลท์เกือบสูญหายไปเนื่องจากผลผลิตต่อไร่ของสเปลท์เมื่อเปรียบกับต้นข้าวสาลีแล้วให้ผลผลิตน้อยกว่า ทำให้ข้าวสาลีกลายเป็นที่นิยมในเชิงพาณิชย์เป็นเวลานาน
ต่อมาเมื่อกระแสรักษ์สุขภาพมาแรง ธัญพืชไม่ขัดสีและอาหารปลอดสารเคมีทำให้สเปลท์กลับมาอีกครั้ง
แป้งสเปลท์มีปริมาณกลูเต็นพอเหมาะ จึงใช้แทนแป้งสาลีในการทำขนมอบ เบเกอรี่เกือบทุกชนิด เส้นพาสต้า ลาซานญ่า มีการหมักเบียร์และวอดก้าจากสเป้ลท์เช่นกัน เชื่อว่าการกินอาหารจากสเปลท์ ช่วยการไหลเวียนโลหิตทำให้ลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนและโรคเบาหวาน
สารอาหารในแป้งสเปลท์
-โปรตีน : ซึ่งให้คุณค่าโปรตีนสูงกว่าโปรตีนของข้าวสาลี เป็น low-fat protein ปริมาณเพียงพอต่อความต้องการโปรตีนในแต่ละวัน
-คาร์โบไฮเดรต : เป็นชนิดพิเศษเรียกว่า Mucopolysaccharides เป็นคาร์โบไฮเดรตที่จำเป็นสำหรับร่างกาย คือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และมีคุณสมบัติช่วยในการแข็งตัวของเลือด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
-ไขมัน : อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม มีกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยในการบำรุงรักษาผนังไขมัน ป้องกันความเครียด
-เส้นใย : เป็นชนิดละลายได้ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ด้วยวิธีดูดซึม โดยเฉพาะชนิดไม่ได้ขัดสีจะอุดมไปด้วยเส้นใยถึง 4 กรัมต่อ 1/4 ถ้วยตวง
-วิตามิน : สเปลท์เป็นแหล่งรวมวิตามินชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะวิตามินบี ที่จำเป็นต่อระบบประสาท โดยเฉพาะบี 2 (Riboflavin) และบี 3 (Niacin) รวมทั้งธาตุเหล็ก ซิลิก้า กรดโฟลิค(Folic acid/บี 9) กรดแพนโทเทนิกหรือบี 5 (Pantothenic acid) และบี 1 (Thiamin) World's Healthiest Foods ยกให้สเป้ลท์เป็นแหล่งสารอาหาร "ยอดเยี่ยม" สำหรับแมงกานีส และ "ดี" สำหรับแมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและทองแดง
แป้งสเปลท์มีกลูเตนน้อยกว่าแป้งสาลี มีสารอาหารพื้นฐานครบถ้วน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น สร้างเลือดดี มีอารมณ์แจ่มใส่ทำให้สุขภาพดี อย่างไรก็ตาม คนที่แพ้โปรตีนกลูเตนในผลิตภัณฑ์แป้งสาลียังคงต้องหลีกเลี่ยงไปบริโภคอาหารที่ทำจากผลิตภัณฑ์ชนิดปลอดกลูเตน (Gluten free) ส่วนคนที่ไวต่อโปรตีนชนิดนี้อาจยังบริโภคได้ปริมาณจำกัดขึ้นอยู่กับบุคคล
การเลือกขนมปัง ขนมอบหรือเบเกอรี่ให้ไม่ทำลายสุขภาพนั้นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เลือกที่ใช้วัตถุดิบแป้งสเป้ลท์ (ให้ดีกว่าคือชนิด Organics Whole meal) นึกถึงปริมาณเนยและน้ำตาลในส่วนประกอบด้วย และเลือกที่ใส่สารอื่นเสริมให้น้อยที่สุดถ้าไม่จำเป็นควรเลี่ยงเสีย เราก็จะได้ทานเค้กหรือขนมโปรดได้โดยไม่ทำลายสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม การจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม นอกจากเลือกอาหารที่หลากหลาย ปรุงจากวัตถุดิบที่ดี สะอาด มีคุณภาพและปลอดสารพิษแล้วต้องไม่ละเลยการออกกำลังกายและดูแลจิตใจให้เพียงพอ
www.th.wikipedia.org
www.livestrong.com/article/262465-nutritional-facts-for-spelt-flour
ป้ายกำกับ:
เค้กดีๆ,
เค้กสุขภาพ,
เบเกอรี่สุขภาพ,
แป้งสาลี,
รักษาสุขภาพ,
สเป้ลท์,
spelt
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)