Come and enjoy lovely coffee shop and restaurant with great breeze of Chao Phraya River plus lush green garden,near Rama V bridge and Nonthaburi Pier ร้านกาแฟ เบเกอรี่ อาหารกลางวัน ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานพระราม5 และท่าน้ำนนท์ บรรยากาศสไตล์บ้านสวน ชมวิวรับลมแม่น้ำ

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แม่เสือซูซี่

            นี่เป็นจดหมายรักที่คุณครูชั้นประถมปีที่สองท่านหนึ่งยึดมาจากนักเรียนแล้วส่งให้พ่อแม่ของนักเรียนคนนั้น  ซึ่งส่งมาให้ผมอีกทอดหนึ่งในภายหลัง
                      บิลลี่จ๋า ถ้าตัวไม่บอกรักเค้าและไม่เดินไปส่งเค้าที่ป้ายรถละก็  
                  เค้าจะฆ่าตัวตายและจะทุบตัวให้หายแค้น  เค้ารักตัว อยากแต่งงาน
                  กับตัวเร็วๆ
                                                                                                         ซูซี่
             แม่หนูคนนั้นอายุแค่ 8 ขวบ  ตอนที่ผมได้รับจดหมายฉบับนี้จากพ่อแม่ของเธอ  เธออายุ 24 ปีแล้ว  ที่โต๊ะอาหารช่วงเตรียมงานหนึ่งวันก่อนซูซี่จะเข้าพิธีแต่งงานกับบิลลี่  ผมเอาจดหมายให้แขกที่มาซักซ้อมในพิธีอ่าน  ขณะซ้อมการให้คำปฏิญาณ  ผมบอกให้ซูซี่พูดตามว่า  
             "ข้าพเจ้า นางสาวซูซี่  ขอให้สัญญากับนายบิลลี่ว่าจะไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาด  และจะไม่ทุบตีทำร้ายเขาด้วย"
             หากชีวิตคู่ยืนยาวเท่ากับความรักของซูซี่  และความรักของเธอยิ่งใหญ่เท่ากับเสียงหัวเราะในระหว่างพิธีแต่งงานวันนั้น  ผมพนันได้เลยว่าสามีภรรยาคู่นี้จะต้องครองรักกันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร
                                                                                                        สาธุคุณท่านหนึ่ง
                                                                                                   เมืองเบลล์วิว รัฐวอชิงตัน

ดี.เอช. ลอว์เรนซ์
(แห่งอาระเบีย)
              ตอนที่ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 3  ผมเลือกเรียนวิชาศึกษางานของ ดี.เอช. ลอว์เรนซ์ ผมไปร้านหนังสือมือสองและต้องแปลกใจกับงานเขียนที่ไม่คุ้นหู เช่น เดอะเรนโบว์ (The Rainbow), วูแมนอินเลิฟ (Woman in Love), ซันส์แอนด์เลิฟเวอร์ส (Sons and Lovers) และเลดี้ แชตเตอร์เลย์ส เลิฟเวอร์ (Lady Chatterley's Lover)
             ผมคิดเหมือนนักศึกษาหลายคนที่ซื้อหนังสือใช้แล้ว  เพราะหวังว่าคนที่เคยใช้มาก่อนจะขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญไว้  ที่ผมซื้อก็ขีดเส้นเต็มไปหมด  เมื่อพลิกดูและอ่านบางย่อหน้าพอให้รู้เรื่องก็ชักติดใจ  คิดเลยเถิดไปว่านักศึกษาหญิงคนไหนที่เรียนวิชานี้ต้องถูกสเป็คผมแน่  หนังสือทุกเล่มที่ผมซื้อมีชื่อผู้หญิงคนเดียวกันเขียนไว้บนปก  เธอขีดเส้นใต้ได้เจ๋งมาก  ทั้งที่เป็นตอนเด็ดๆ และข้อความอันงดงามเกี่ยวกับความรัก ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับเซ็กซ์
             ผมค้นหาที่อยู่ของเธอจากสมุดโทรศัพท์จนเจอ  และเสี่ยงโทรถึงเธอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น  หวังจะได้นัดไปเที่ยวกับเธอหรืออาจได้รายงานที่เธอเขียนเกี่ยวกับนายคนนี้  หนุ่มนักศึกษามักรอบจัดแบบนี้  ผมโทรถึงเธอ  แนะนำตัวเองพร้อมกับบอกความต้องการ  โอ้โฮเฮะ ! เธอไม่ใช่สาวนักศึกษา  แ่ต่เป็นอาจารย์สอนวิชาวรรณกรรมอังกฤษที่เกษียณแล้ว 
             เธอหัวเราะ  บอกว่ายินดีนัดพบผมและช่วยอธิบายเกี่ยวกับนายลอว์เรนซ์  พร้อมทั้งบอกเคล็ดลับให้สอบผ่านวิชานั้น  
             เราถูกคอกันทันที  เธออยู่ตามลำพังและมีปัญหาสายตา  เธอยื่นข้อเสนอให้ผมช่วยขับรถพาเธอไปซูเปอร์มาร์เก็ตอาทิตย์ละครั้ง  เธอจะช่วยติววิชานายลอว์เรนซ์ให้ผม  
             ตลอดเทอมนั้นเธอสอนผมเกี่ยวกับความรัก เซ็กซ์และผู้หญิง  ผมไปมาหาสู่เธอนานพอสมควร  เธอทำให้ผมเป็นผู้ชายที่ดีขึ้นกว่าเดิม
             หลายปีต่อมา  ผมบอกเธอว่าผมจะขอเธอแต่งงานถ้าเธออายุยี่สิบ  แทนที่จะเป็นเจ็ดสิบ  เธอบอกว่าเธอก็จะตกปากรับคำแน่นอน  ตอนนี้เธอเสียชีวิตไปแล้ว  ผมยังเก็บหนังสือของเธอไว้รวมทั้งความปราดเปรื่องและความรักตามแบบของเธอ  ผมได้เกรดเอในวิชานั้นด้วย

อ่านเรื่องเต็มได้จาก  True Love, Robert  Fulghum 
                                   รักแท้ แปลและเรียบเรียงโดย สมพร  วรรธนะสาร-วาร์นาโด

     

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

True Love  รักแท้

             คุณแม่อายุ 45 ปี ดิฉันอายุ 25 ปี  คุณแม่กับคุณพ่อแต่งงานกันและมีดิฉันตั้งแต่ท่านยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย  ท่านครองคู่กันอย่างมีความสุข  
             เมื่อ 2-3 ปีก่อน ในโอกาสวันคืนสู่เหย้าปีที่ 25 ของโรงเรียนมัธยมที่ท่านเคยเรียน  คุณแม่รื้อเอาหนังสือที่ระลึกรุ่นและของที่ระลึกที่ท่านสะสมออกมาให้ดิฉันดู  ดิฉันประหลาดใจมากที่เมื่อคุณแม่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับดิฉันท่านช่างเหมือนกับดิฉันเหลือเกิน  ขณะที่เรากำลังดูหนังสือรุ่นกันอยู่นั้น คุณแม่น้ำตาคลอเมื่อเจอรูปเด็กหนุ่มคนหนึ่ง  เขาชื่อเบนนี่ ท่านเคยควงกับเขาอยู่ 3 ปี
             ทั้งคู่รักกันปานจะกลืน แต่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วยเนื่องจากเบนนี่มีเชื้อสายยิว  ส่วนครอบครัวคุณแม่นับถือคริสต์นิกายแบ๊พติสต์  ทั้งสองเคยคิดจะหนีตามกัน หรือไม่ก็แอบได้เสียและแต่งงานกันโดยพลการ  หรืออย่างน้อยก็พยายามจะไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน  แต่ผู้ใหญ่ก็จับท่านแยกกัน  โดยต่างฝ่ายต่างส่งลูกไปเรียนคนละมุมของประเทศ   พวกเขาได้พยายามติดต่อกันแต่ไม่สำเร็จ  จนกระทั่งคุณแม่มาตกหลุมรักคุณพ่อ  ส่วนเบนนี่ก็เข้าเรียนแพทย์  พอเรียนจบก็ไปเป็นศัลยแพทย์ประจำกองทัพอากาศ
              ทั้งสองเจอกันในวันคืนสู่เหย้า  ดิฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร  คุณแม่ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเธอรู้สึกอย่างไรเมื่อได้เจอเขาอีก  ดิฉันรู้เพียงว่าเขายังเป็นโสด
             ปีที่แล้วคุณแม่จัดงานเลี้ยงและเชิญให้ดิฉันไปร่วมเพื่อจะได้พบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมของท่านบางคน   เมื่อก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น ดิฉันเห็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งนั่งอยู่  ไม่เคยเห็นใครหล่อเท่านี้มาก่อนในชีวิต สูง หล่อ ผิวเข้มอีกต่างหาก เข้าสูตรชายในฝันเลยเชียว
             คุณแม่แนะนำเขากับดิฉันว่าเขาคือ นายแพทย์เบนจามิน... เขาคือเบนนี่ คนรักในอดีตของท่านนั่นเอง  มันเป็นรักแรกพบของเขากับดิฉัน  เรามีความสัมพันธ์หวานชื่นต่อกันมาก
             ตอนแรกเราเก็บเป็นความลับ มันเหลือเชื่อจริงๆ  เราพากันไปพบจิตแพทย์และผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตคู่  ดิฉันต้องการรู้แน่ว่าเขารักดิฉันจริงๆ  ไม่ใช่เพราะรักคุณแม่ของดิฉัน  ในที่สุดเราก็ตกลงใจแต่งงานกัน  เราบอกเรื่องนี้แก่ครอบครัวของเขาเป็นอันดับแรก  พวกเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องพรหมลิขิตโดยแท้
             เมื่อเราบอกเรื่องนี้แก่คุณแม่ของดิฉัน  ท่านถึงกับร้องไห้แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะชนิดกลั้นความปิติยินดีไว้ไม่อยู่  ทั้งคุณพ่อและุคุณแม่โล่งใจที่เรื่องลงเอยแบบนี้...
                                                                                                                        เอส.เอฟ.จี.
                                                                                                                 หลุยส์วิลล์ เคนทักกี

             “We’re all a little weird. And life is a little weird. And when we find someone whose weirdness is compatible with ours, we join up with them and fall into mutually satisfying weirdness—and call it love—true love.” 
                                                                                                   ― Robert Fulghum, True Love                 
              เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ไปงานเต้นรำวันศุกร์หรรษากับวงดนตรีวงใหญ่งานหนึ่งที่ซีแอตเติล  คู่เต้นรำหลายร้อยคู่ออกมาวาดลวดลายทั้งในจังหวะวอลตซ์ จังหวะธรรมดา รวมทั้งฟอกซ์ทรอต...  ฟากหนึ่งของฟลอร์เป็นคู่ตายายชาวเอเชียแต่งตัวเกือบเป็นฝาแฝดกันในชุดกางเกงสีกากี เสื้อเชิ้ตตาหมากรุก รองเท้าเทนนิส กอดกันราวกับเถาวัลย์  พวกไม่เชิงเต้นรำ แค่เอนหัวไปตามจังหวะดนตรี นี่ก็พิลึก  หันไปทางไหนล้วนแต่เป็นคู่รักที่ดูพิลึกๆ  หาคู่รักที่เฉิดฉายน่าประทับใจไม่ได้เลย   แล้วไง มันสำคัญอะไรล่ะ                
             คุณอยากรู้ว่าผมคิดยังไงใช่ไหม  ผมคิดว่าเราล้วนมีอะไรแปลกๆ กันทุกคน  เมื่อพบคนที่มีความประหลาดที่เข้ากับเราได้  เราก็ร่วมวงไปกับเขา  ในที่สุดก็พึงพอใจในความพิลึกของกันและกัน  แล้วเรียกมันว่า รัก -- " รักแท้ "
                                                                                                                 โรเบิร์ต  ฟูลกัม

             เล่าเรื่องความรักสู่กันฟังสักเรื่องสิครับ  เอาเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณจริงๆ  ไม่ใช่ที่อ่านพบหรือได้ยินได้ฟังมาจากที่อื่น...            
             ... ผมได้รับจดหมายจากคนอายุตั้งแต่แปดขวบถึงแปดสิบจากทั่วสารทิศ  ทั้งชาย หญิง และผู้นิยมไม้ป่าเดียวกัน  คนฉลาดเฉลียวและคนทึ่มสุดๆ...  ตอนแรกผมคิดว่าคงจะมีแต่เรื่องหวานมันหนึบหนับเหมือนท็อฟฟี่  เรื่องรักประเภทนกน้อยสีฟ้ากับสายรุ้ง  แต่กลับได้พบความแปลกใจที่ขมปี๋เหมือนดีเกลือ  กลับได้ฟังเรื่องรักแบบพายุสลาตันระคนด้วยฟ้าผ่า..
             แค่จดหมายยังไม่ถึงใจ  ผมจึงเสาะแสวงหาเรื่องรักโดยใช้วิธีแขวนป้ายไว้ตามร้านกาแฟหรือบาร์ ตลอดจนงานเทศกาลต่างๆ ในเมืองซีแอตเติลว่า  เชิญมาเล่าเรื่องความรักของคุณให้ผมฟัง  ผมยินดีตอบแทนด้วยการเลี้ยงกาแฟและอาจทำให้คุณมีชื่อเีสียงได้  ปรากฏว่ามีคนสนใจมากทีเดียว...
             ในระยะแรก การจะให้คนเปิดใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นปัญหาพอสมควร  ผู้เล่ามักมีอาการเก้อเขินและออกตัวว่าเรื่องออกจะยืดยาวไม่หวานแหววเท่าไหร่  แต่พอได้รับกำลังใจก็ยอมเล่า  บางครั้งผู้ฟังถึงกับยืนขึ้นปรบมือให้แก่ผู้เล่า  ทำให้มีคนเข้ามาสมทบมากขึ้น  มีคนตะโกนถามว่า "ท ำอะไรกันน่ะ "
             " อ๋อ ต้องการเรื่องจริงเกี่ยวกับความรักงั้นรึ "  " ฉันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณคิดว่าเหลือเชื่อ "  แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แปลกสิ้นดี  ที่ความไม่น่าเชื่อนั้นกลับทำให้เรื่องน่าเชื่อ  หากความจริงแปลกกว่านิยายได้  ความรักก็ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก   การยุติเล่าเรื่องความรักแต่ละเรื่องดูจะยากยิ่งกว่าการพยายามยุให้พวกเขาเริ่มต้นเล่าเสียอีก  เป็นประสบการณ์ที่เราทุกคนเคยพบและอาจเกิดขึ้นอีก
             เรื่องที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่จะเล่าต่อมา คือ  หญิงสาวคนหนึ่งนั่งฟังชายหนุ่มเล่าถึงความรักที่ถูกผลักไสไร้เยื่อใยไมตรีอย่างเพลิดเพลิน  พอเขาเล่าจบ เธอบอกว่าไม่มีวันที่เธอจะปฏิเสธผู้ชายที่มีความรู้สึกกับความรักแบบนั้น  ชายหนุ่มจึงขอฟังเรื่องของเธอบ้าง  ตอนที่ผมจากมาคนทั้งคู่ยังคุยกันต่อ  จะเกิดอะไรต่อจากนั้น ในความรักทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ
             สุภาพบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นซองจดหมายสีฟ้าให้ผมฉบับหนึ่ง  พร้อมบอกว่า "ก่อนอ่านจดหมายฉบับนี้ ผมอยากให้คุณทราบด้วยว่าผมเก็บมันมานานนับสิบปีแล้ว  เป็นจดหมายจากภรรยาซึ่งผมได้แต่งงานอยู่กินกันมาจนบัดนี้"  จดหมายมีข้อความเขียนด้วยปากกาว่า
                                  แฮร์รี่สุดที่รัก
                                 ฉันเกลียดคุณ เกลียดคุณ เกลียดคุณ
                                 ด้วยความรักและนับถือเป็นที่สุด
                                                                              เอ็ดน่า

            ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา นึกเดาเรื่องที่เหลือได้โดยตลอด...  
             หลายเรื่องเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายแต่จบลงชนิดคาดไม่ถึง  จนบางครั้งคุณอดถามไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่หรือ  ผมเชื่อว่าจริง เพราะผมรู้เรื่องเกี่ยวกับรักแท้มามากจนไม่อาจโต้แย้งได้  ทุกสิ่งที่กล่าวเกี่ยวกับความรักเป็นความจริง  แม้จะไม่จริงกับทุกคนในคราวเดียวกันแต่ก็เป็นเรื่องจริงสำหรับใครบางคน ณ ที่ใดที่หนึ่ง  ในกาลครั้งหนึ่ง ความรักเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่และอาจเป็นขยะกองใหญ่...  และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตมีค่าน่าอยู่...  
                                                                                                              
อ่านเรื่องเต็มได้จาก  True Love, Robert Fulghum
                                   รักแท้  แปลและเรียบเรียงโดย สมพร  วรรธนะสาร วาร์นาโด
         

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


SPELT  สเป้ลท์
(Dinkel wheat or hulled wheat)
ชื่อวิทยาศาสตร์:  Triticum aestivum subsp. spelta

            Spelt  เป็นพืชดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งที่เกือบสูญพันธุ์ไป  เครือญาติเดียวกับข้าวสาลีแต่เก่าแก่กว่าในพืชสกุลเดียวกัน  สเป้ลท์เป็นสายพันธุ์ย่อย (subspecies) หนึ่งของข้าวสาลี  หน้าตาคล้ายต้นข้าวสาลี แป้งที่ป่นได้ลักษณะเดียวกับแป้งสาลีทั่วไปแต่สีไม่ขาวเท่าและมีความหยาบมากกว่า  หากแต่ให้คุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะแบบไม่ขัดสี (โฮลมีลWhole meal) และไม่ขัดขาว (Unbleached)
            ในปัจจุบันจึงกลับมาเป็นที่นิยมในกระแสอาหารสุขภาพ   ขนมที่ทำมาจากแป้งชนิดนี้จะออกสีไม่ขาวนวลสวยเหมือนแป้งสาลีทั่วไปแต่ให้คุณค่าทางอาหารสูงกว่าและไม่ทำลายสุขภาพเหมือนแป้งสาลีขัดสีขัดขาวทั่วไปที่นุ่มละลายในปาก   ผู้ผลิตบางรายเชื่อว่าสเป้ลท์มีคุณค่ามากกว่าข้าวสาลีทั่วไปแม้จะนำมาขัดสีเพื่อให้แป้งและขนมที่ได้สีสวยขึ้นนุ่มขึ้นเพื่อให้บริโภคได้ง่ายและมากปริมาณ
            จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 8,000 ปีก่อน เชื่อว่า  สเป้ลท์อาจเป็นข้าวสาลีพันธุ์ผสมของ emmer wheat และ Aegilops   ความจริงคนโบราณปลูกสเปลท์เป็นแหล่งอาหารเหมือนข้าวสาลีในบางส่วนในยุโรป แอฟริกาและทางเหนือของตุรกี จอร์เจีย   หลักฐานบางส่วนที่ค้นพบเืมื่อ 5,000 ปีก่อนคริสต์กลาง  สันนิษฐานว่าเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง emmer wheat กับ bread wheat    แต่สเปลท์เกือบสูญหายไปเนื่องจากผลผลิตต่อไร่ของสเปลท์เมื่อเปรียบกับต้นข้าวสาลีแล้วให้ผลผลิตน้อยกว่า   ทำให้ข้าวสาลีกลายเป็นที่นิยมในเชิงพาณิชย์เป็นเวลานาน
            ต่อมาเมื่อกระแสรักษ์สุขภาพมาแรง   ธัญพืชไม่ขัดสีและอาหารปลอดสารเคมีทำให้สเปลท์กลับมาอีกครั้ง
   แป้งสเปลท์มีปริมาณกลูเต็นพอเหมาะ  จึงใช้แทนแป้งสาลีในการทำขนมอบ  เบเกอรี่เกือบทุกชนิด  เส้นพาสต้า ลาซานญ่า  มีการหมักเบียร์และวอดก้าจากสเป้ลท์เช่นกัน   เชื่อว่าการกินอาหารจากสเปลท์  ช่วยการไหลเวียนโลหิตทำให้ลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ  ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนและโรคเบาหวาน

            สารอาหารในแป้งสเปลท์
            -โปรตีน : ซึ่งให้คุณค่าโปรตีนสูงกว่าโปรตีนของข้าวสาลี  เป็น low-fat protein  ปริมาณเพียงพอต่อความต้องการโปรตีนในแต่ละวัน
            -คาร์โบไฮเดรต : เป็นชนิดพิเศษเรียกว่า Mucopolysaccharides เป็นคาร์โบไฮเดรตที่จำเป็นสำหรับร่างกาย   คือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และมีคุณสมบัติช่วยในการแข็งตัวของเลือด  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
            -ไขมัน : อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม มีกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยในการบำรุงรักษาผนังไขมัน ป้องกันความเครียด
            -เส้นใย : เป็นชนิดละลายได้ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ด้วยวิธีดูดซึม  โดยเฉพาะชนิดไม่ได้ขัดสีจะอุดมไปด้วยเส้นใยถึง 4 กรัมต่อ 1/4 ถ้วยตวง
            -วิตามิน : สเปลท์เป็นแหล่งรวมวิตามินชนิดต่าง ๆ  โดยเฉพาะวิตามินบี ที่จำเป็นต่อระบบประสาท  โดยเฉพาะบี 2 (Riboflavin) และบี 3 (Niacin)  รวมทั้งธาตุเหล็ก ซิลิก้า กรดโฟลิค(Folic acid/บี 9) กรดแพนโทเทนิกหรือบี 5 (Pantothenic acid) และบี 1 (Thiamin)  World's Healthiest Foods ยกให้สเป้ลท์เป็นแหล่งสารอาหาร "ยอดเยี่ยม" สำหรับแมงกานีส และ "ดี" สำหรับแมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและทองแดง
            แป้งสเปลท์มีกลูเตนน้อยกว่าแป้งสาลี   มีสารอาหารพื้นฐานครบถ้วน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น สร้างเลือดดี มีอารมณ์แจ่มใส่ทำให้สุขภาพดี   อย่างไรก็ตาม คนที่แพ้โปรตีนกลูเตนในผลิตภัณฑ์แป้งสาลียังคงต้องหลีกเลี่ยงไปบริโภคอาหารที่ทำจากผลิตภัณฑ์ชนิดปลอดกลูเตน (Gluten free)  ส่วนคนที่ไวต่อโปรตีนชนิดนี้อาจยังบริโภคได้ปริมาณจำกัดขึ้นอยู่กับบุคคล
            การเลือกขนมปัง ขนมอบหรือเบเกอรี่ให้ไม่ทำลายสุขภาพนั้นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย   เลือกที่ใช้วัตถุดิบแป้งสเป้ลท์ (ให้ดีกว่าคือชนิด Organics Whole meal)  นึกถึงปริมาณเนยและน้ำตาลในส่วนประกอบด้วย  และเลือกที่ใส่สารอื่นเสริมให้น้อยที่สุดถ้าไม่จำเป็นควรเลี่ยงเสีย   เราก็จะได้ทานเค้กหรือขนมโปรดได้โดยไม่ทำลายสุขภาพ
            อย่างไรก็ตาม การจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม  นอกจากเลือกอาหารที่หลากหลาย  ปรุงจากวัตถุดิบที่ดี  สะอาด  มีคุณภาพและปลอดสารพิษแล้วต้องไม่ละเลยการออกกำลังกายและดูแลจิตใจให้เพียงพอ

www.th.wikipedia.org
www.livestrong.com/article/262465-nutritional-facts-for-spelt-flour
 
Plantilla Minima modificada por Urworstenemy